นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทไม่มีความสนใจที่จะต่อยอดธุรกิจพลังงานไปสู่ธุรกิจน้ำมันพืช โดยยังคงเน้นทำไบโอดีเซลที่ผลิตจากปาล์ม โดยมีกำลังการผลิตไบโอดีเซลปัจจุบันที่ 3 แสนลิตร/วัน ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทย่อย คือ บริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด
ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทเพิ่มพื้นที่ปลูกปาล์มกว่า 3 พันไร่ย่านรังสิต จากปัจจุบันมีพื้นที่ปลูก 1.4 พันไร่ รวมทั้งมองหาหรือสนับสนุนพื้นที่ปลูกภาคอื่น เช่น ภาคกลางที่ปลูกข้าวไม่ได้ เพื่อความมั่นใจเรื่องของซัพพลายว่าจะไม่ขาดแน่นอน
"เราต้องรอดูว่านโยบายภาครัฐจะสนับสนุนไบโอดีเซลหรือเปล่า พอเปลี่ยนรัฐมนตรีใหม่ เราต้องดูว่าจะสนับสนุนพลังงานทดแทนมากน้อยแค่ไหน ขณะเดียวกันบางจากก็สนใจปลูกปาล์มน้ำมันอยู่แล้ว ส่วนที่เป็นข่าว เรื่องน้ำมันพืช เราไม่ได้สนใจ"นายอนุสรณ์ กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การยกเลิกขายเบนซิน 91 ที่กำหนดให้มีผลเดือน ต.ค.55 ก็คงต้องรอดูนโยบายจาก รมว.พลังงานคนใหม่ว่าจะมีความชัดเจนอย่างไร โดยเห็นว่าราคาเอทานอล ณ วันนี้ไม่แพง อยู่ที่กก. 20-21 บาท ซึ่งช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้มาก แต่เพราะราคาน้ำมันเบนซิน 91 กับ แก๊สโซฮอลล์ 95 มีส่วนต่างเพียง 1.28 บาท/ลิตร จึงไม่ค่อยจูงใจประชาชนมากนัก
ทั้งนี้ ปัจจุบัน มียอดขายแก๊สโซฮออล์ 70% ส่วนเบนซิน 30% จากแต่เดิมมีสัดส่วน 80/20
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า บริษัทยังเดินหน้าธุรกิจพลังงานทดแทน โดยในปีนี้จะเป็นปีแรกที่เริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ประมาณ 400-500 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่เต็มปี เป็นโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 38 เมกะวัตต์ในอยุธยาที่ได้รับผลกระทน้ำท่วม คาดว่าจะซ่อมเสร็จในเดือน มี.ค.สำหรับขนาด 8 เมกะวัตต์ และขนาด 30 เมกะวัตต์จะแล้วเสร็จในเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ รวมทั้งสร้างใหม่อีก 16 เมกะวัตต์ที่ จ.ชัยภูมิ ที่จะแล้วเสร็จในปลายปี 55
บริษัทจะสร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ต่อเนื่องอีก ที่อ.บางปะหัน จ.อยุธยา ขนาด 16 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้เตรียมทำระบบป้องกันน้ำท่วมคาดว่าจะสร้างเสร็จต้นปี 56 นอกจากนี้ บริษัทจะพยายามสร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่เหลืออีก 48 เมกะวัตต์ให้เสร็จภายในสิ้นปี 56 จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์รวม 118 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสร้าง EBITDA ให้บริษัทปีละประมาณ 2.8 พันล้านบาท
"เราพยายามสร้างให้เสร็จหมด 118 เมกะวัตต์ภายในปีหน้า ...น่าจะส่งผลดีต่อ EBITDA เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2.8 พันล้าน ประมาณ 30% ของ EBITDA ก็น่าจะช่วยผลประกอบการของเราค่อนข้างเยอะ" นายอนุสรณ์ กล่าว
สำหรับงบลงทุนในปี 55 ตั้งไว้จำนวนกว่า 7 พันล้านบาท แบ่งใช้ในการซ่อมประจำปี และปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ในโรงกลั่น เพิ่มสถานีบริการ จำนวน 2 -2.5 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
พร้อมกันนั้น บริษัทยังมีแผนจะลงทุนโรงกลั่นเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยเทคโนลยีใหม่ จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงด้วย โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุน ประมาณ 3-4 พันล้านบาท เพื่อนำโรงกลั่นบางจากให้เป็นโรงกลั่นที่ทันสมัย อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการลงทุนดังกล่าวในกลางปี 55 คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการ 3 - 3.5 ปี
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA)ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 7 พันล้านบาท (ไม่รวม stock gain) สูงกว่าปีก่อนที่มีกว่า 6 พันล้านบาท และมีเป้าหมายจะเพิ่ม EBITDA แตะระดับ 1 หมื่นล้านบาทภายในปี 59
ทั้งนี้ ผลประกอบการปี 55 คาดว่าจะดีขึ้นกว่าปีก่อน เนื่องจาก BCP มีกำลังการกลั่น 9.2-9.3 หมื่นบาร์เรล/วัน สูงขึ้นจากปีก่อนที่มีกำลังการกลั่น 8.6 หมื่นบาร์เรล/วัน อีกทั้งมาร์จิ้นในปีนี้ดีขึ้น โดยคาดว่าค่าการกลั่นในปีนี้เฉลี่ยที่ระดับ 7 เหรียญ/บาร์เรล จากปีก่อน 6.5 เหรียญ/บาร์เรล ส่วนหนึ่งมาจากการเข้าทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน 30%
เมื่อเวลา 11.09 น.ราคาหุ้น BCP มาอยู่ที่ 19.90 บาท บวก 0.70 บาท (3.65%)