หุ้น SCC ราคาขยับขึ้น 1.54% มาอยู่ที่ 329 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท มูลค่าซื้อขาย 479.72 ล้านบาท เมื่อเวลา 14.28 น. โดยเปิดตลาดที่ 326 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 329 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 324 บาท
นอกจากนี้ ยังมีรายการบิ๊กล็อตหุ้น SCC-F 1 รายการ จำนวน 1.2 ล้านหุ้น มูลค่าซื้อขาย 457.20 ล้านบาท เทรดในราคาเฉลี่ย 381 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ โบรกเกอร์เกือบทุกรายต่างแนะนำ"ซื้อ"หุ้น SCC แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 4/54 และปี 54 จะออกมาย่ำแย่จากผลกระทบสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ แต่ก็คาดว่าในปีนี้ผลประกอบการจะฟื้นตัวได้ดี อีกทั้งแผนขยายธุรกิจในอาเซียนจะส่งผลดีในระยะยาว
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท)
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 450.00
บล.ทิสโก้ ซื้อ 450.00
บล.บัวหลวง ซื้อ 430.00
บล.เอเชีย พลัส ซื้อ 425.00
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 390.00
บล.ทรีนีตี้ ซื้อ 375.00
บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 350.00
บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุในบทวิเคราะห์แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)ประเมินมูลค่าพื้นฐานหุ้น SCC ตามวิธี DCF เท่ากับ 350 บาท โดยคาดหวังธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจวัสดุก่อสร้างจะเป็นธุรกิจหลักผลักดันผลประกอบการปี 55 และการฟื้นตัวของ Spread ผลิตภัณฑ์หลักปิโตรเคมีและธุรกิจปิโตรเคมีในอินโดนีเซีย PT Chandra Asri Petrochmical ที่จะพลิกผลการดำเนินงานมาเป็นกำไร จะส่งผลบวกต่อผลประกอบการของ SCC ในปี 56
ทั้งนี้ บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการ 2H54 ที่ 7 บาทต่อหุ้น กำหนดวัน XD 5 เม.ย. 55 และวันจ่ายเงินปันผล 26 เม.ย.55
SCC ประกาศกำไรสุทธิ 4Q54 เท่ากับ 3.2 พันล้านบาท(-81%YoY และ -57%QoQ)สาเหตุที่ลดลงทั้ง YoY และ QoQ เกิดจากมหันตภัยน้ำท่วมกระทบต่ออุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์หลักของ SCC และค่าใช้จ่ายขนส่งสินค้าสูงขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่อุทกภัย และไม่มีการบันทึกกำไรพิเศษใน 4Q54 (เทียบกับ 4Q53 มีบันทึกกำไรพิเศษ 9.96 พันล้านบาทจากการขายเงินลงทุนใน PTTCH)
ด้าน บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)แนะ"ซื้อ"หุ้น SCC ให้ราคาเหมาะสมปี 2555 เท่ากับ 450 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่าผลประกอบการของ SCC ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาสที่ 4/54 และจะเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2555 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ผู้บริหารของ SCC ส่งสัญญาณว่าผลประกอบการของบริษัทคาดจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาสที่ 4/54 และจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของธุรกิจปูนซีเมนต์ ด้วยอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของวัสดุก่อสร้างเพื่อการซ่อมแซมอาคาร สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และการฟื้นตัวของส่วนต่างราคาเคมีภัณฑ์ในครึ่งหลังของปี 2555
ประเมินกำไรปกติในปี 2555 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.5% YoY สำหรับการขยายธุรกิจเข้าไปในตลาด ASEAN โดยการมุ่งใช้ธุรกิจหลักทั้งสามเป็นหัวหอก จะทำให้บริษัทสามารถรักษาการเติบโตของผลกำไรในระยะยาวที่ระดับ 18.9% CAGR ในช่วงปี 2554-2556 ดังนั้น แนวโน้มธุรกิจที่สดใส และวัฎจักรขาขึ้นของกำไร