นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีเอ็มโอ(CMO)กล่าวว่า บริษัททุ่มงบลงทุน 150 ล้านบาทรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้สร้างการสื่อสารควบวงจรด้วยความคิดสร้างสรรค์ พร้อมตั้งเป้ารายได้ภายใน 3 ปี หรือในปี 57 แตะ 2 พันล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 900 ล้านบาท
"การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กรเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่จะไม่เป็นเพียงบริษัทอีเว้นท์ แต่จะเป็นบริษัทที่สื่อสารด้วยความคิดสร้างสรรค์ พร้อมมีเป้ามหายขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยการรีแบรนด์ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทจากเดิม บมจ. ซีเอ็ม ออแกไนเซอร์ เป็น บมจ.ซีเอ็มโอ และมีการเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ใหม่ และรีแบรนด์ทุกหน่วยธุรกิจเดิม และเพิ่มหน่วยธุรกิจใหม่อีก 2 หน่วย"นายเสริมคุณ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมีการลงทุนสร้าง Bangkok Creative Playground เป็นสำนักงานใหม่ของบริษัทบนถนนนวลจันทร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะแล้วเสร็จในปี 56
นายเสริมคุณ กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายตลาดออกไปสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) มากขึ้น รวมทั้งจะมีรายได้จากหน่วยธุรกิจใหม่เข้ามา อีกทั้งมีแผนจะเข้าไปซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการกับบริษัทที่เกี่ยวเนื่องธุรกิจทั้งในและต่างประเทศผ่านบริษัทลูกที่คาดว่าจะได้ข้อสรุป 3 รายในครึ่งปีหลัง
"น่าจะได้ข้อสรุปเรื่องแผนการซื้อหรือควบรวมกิจการในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะใช้ตัวบริษัทลูก เน้นบริษัทที่จะช่วยเข้ามาสร้างจุดแข็งให้กับเรา ซึ่งจะเป็นธุรกิจใหม่ อาจจะเป็นงานเกี่ยวกับด้านซอฟท์แวร์ หรืองานดีไซน์ ซึ่งการควบรวมจะไม่เกิน 3 บริษัท และไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทในประเทศเท่านั้น" นายเสริมคุณ กล่าว
แผนการขยายงานในต่างประเทศ บริษัทแบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกในปีนี้ขยายงานเข้าไปในกัมพูชาและเวียดนาม และเร็วๆนี้คาดว่าจะได้รับงานจากประเทศสหภาพพม่าเข้ามาด้วย ส่วนเฟสที่ 2 จะเริ่มในปี 56 มุ่งเข้าไปฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ซึ่งคงเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น หรือรับงานจากบริษัทไทยที่เข้าไปทำตลาดในประเทศนั้นๆ
นายเสริมคุณ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 55 ที่ 1.1 พันล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อนที่คาดว่ารายได้จะต่ำกว่า 1 พันล้านบาทซึ่งพลาดเป้าหมายไปจากผลกระทบสถานการณ์น้ำท่วมช่วงปลายปี 54 ทำให้งานจัดกิจกรรมทางการตลาดยกเลิกไปเป็นจำนวนมาก แต่ในปีนี้มีมูลค่างานในมือ(backlog)ที่เตรียมรับรู้รายได้ราว 300 ล้านบาท และยังมีรายได้จากการจัดงานบีโอไอแฟร์ 270 ล้านบาทที่อยู่ระหว่างรอผู้ตรวจสอบบัญชีว่าจะให้รับรู้ฯในไตรมาส 4/54 หรือไตรมาส 1/55 หรือทยอยรับรู้ไตรมาสละเท่าใด
สัดส่วนรายได้ในปีนี้คาดว่าจะมาจากงานภาครัฐ 35% และอีก 65% เป็นงานภาคเอกชน โดยประเมินว่ารัฐบาลจะนำงบประมาณไปฟื้นฟูประเทศเป็นหลักทำให้งบจัดกิจกรรมลดลง ขณะที่ภาคเอกชนจะมีการแข่งขันจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นยอดขายมากขึ้น ส่วนภาพรวมประเมินว่าธุรกิจอีเว้นท์และออแกไนซ์จะเติบโตประมาณ 10% จากปีก่อน โดยปัจจุบันตลาดรวมมีมูลค่ารวมประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท