นักวิเคราะห์มองตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งขึ้นในกรอบแคบมีโอกาสแตะระดับ 1,100 จุด และคาดมีแรงขายทำกำไรออกมาบางส่วนหลังจากตลาดขึ้นไปมากแล้ว โดยยังไม่มีปัจจัยลบใดเข้ามา และเห็น Fund Flow ยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง ให้แนวต้านสำคัญที่ 1,100 และ 1,150 จุด
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีแนวโน้มแกว่งตัวแคบ โดยระยะสั้นอาจจะแกว่งตัวขึ้นไปแตะ 1,100 จุด และอาจจะอ่อนตัวจากแรงเทขายทำกำไร แต่ยังไม่มีปัจจัยลบใดเข้ามา เพราะยังเห็น Fund Flow เข้ามาซื้อต่อเนื่อง
ทั้งนี้ มองว่าระดับ 1,100 และ 1,150 จุด เป็นแนวต้านจิตวิทยาที่สำคัญ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมของดัชนีเมื่อปีที่แล้ว
นอกจากนี้ คืนนี้ตลาดยังรอผลการประกาศตัวเลขเศษฐกิจของสหรัฐ
ให้แนวรับที่ระดับ 1,080 จุด และ แนวต้านที่ 1,100, 1,110 จุด
ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวานนี้(2 ก.พ.)ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 12,705.41 จุด ลดลง 11.05 จุด(-0.09%) ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,325.54 จุด เพิ่มขึ้น 1.45 จุด(+0.11%) ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 2,859.68 จุด เพิ่มขึ้น 11.41 จุด(+0.40%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 4,952.13 ล้านบาทเมื่อวานนี้
- ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน มี.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการวานนี้ที่ 96.36 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.25 ดอลลาร์ หรือ 1.28%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์เช้านี้เปิดที่ 10.15 เหรียญฯ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากวานนี้(2 ก.พ.)ที่ปิด 10.58 เหรียญฯ/บาร์เรล
- รัฐบาลอยู่ระหว่างเร่งจัดทำงบประมาณปี 2556 ตั้งใจว่าจะจัดทำงบประมาณขาดดุลลดลงจากปี 2555 ที่ 4 แสนล้านบาท แต่จะอยู่ที่ระดับใดนั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจโลกที่สามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยกลไกสำคัญในการจัดทำเป็นงบประมาณขาดดุลหรือเกินดุลนั้น ได้แก่ 1.การอุปโภคบริโภคภายในประเทศ2.การลงทุนภาคเอกชน และ 3.การส่งออก
- คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ(กทบ.)มีมติให้เพิ่มวงเงินกู้สำหรับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านเพิ่มขึ้นจากเดิม 50% โดยการขอกู้ทั่วไปจากเดิมกู้ได้รายละ 20,000 บาท เพิ่มเป็น 30,000 บาท ส่วนกรณีที่ใช้การประชุมของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านทั้งหมดในการพิจารณาปล่อยกู้ ซึ่งมีอำนาจอนุมัติต่อรายเพิ่มขึ้นจากเดิม 50,000 บาท เป็น 75,000 บาท ขณะที่กรณีอนุมัติวงเงินฉุกเฉินจะปรับเพิ่มจากเดิม 10,000 บาท เป็น 15,000 บาท โดยหลักเกณฑ์ และระเบียบต่างๆ ยังอยู่ในเงื่อนไขเดิมทั้งหมด
- รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบนฐานเงินฝากและตั๋วแลกเงิน(บี/อี)จากธนาคารพาณิชย์ใหม่ ส่วนแนวทางใหม่นั้น ธปท. อาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบนฐานเงินฝากและ บี/อี จากธนาคารพาณิชย์เพิ่มอีก 0.12% จากอัตราเดิมที่ต้องนำส่งเงินเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก(สคฝ.)ที่อัตรา 0.4% ซึ่งรวมเป็น 0.52% ซึ่งวิธีนี้เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงผู้ฝากเงิน ผู้กู้เงิน และผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- คลังเชิญเคลมซ่อมบ้าน-รถหักภาษีเต็มที่ ครม.เห็นชอบให้ประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ในปีที่ผ่านมาสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซ่อมแซมบ้านเรือนที่อยู่อาศัยมาหักลดหย่อนภาษีได้ในวงเงินไม่เกิน 1แสนบาท และเปิดให้นำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการซ่อมรถยนต์มาหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาทนั้น ผู้เสียภาษีสามารถใช้สิทธิได้ในรอบนี้
- สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย 7 องค์กรประชุมหารือท่าทีต่อการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และมีมติจะฟ้องศาลเพื่อให้ระงับการขึ้นค่าจ้างร่วมกับสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ซึ่งขณะนี้ ส.อ.ท.รวบรวมรายชื่อสมาชิกที่ต้องการฟ้องได้ประมาณ 100 ราย ขณะที่สภาองค์การนายจ้างฯ จะร่วมฟ้องประมาณ 50 ราย
- สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนออกแถลงการณ์ฉบับที่ 5 คัดค้านนโยบายและการดำเนินการโครงการตามที่กระทรวงการคลังสนับสนุนให้ธนาคารออมสินปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสุด 0.01% เป็นเวลากว่า 10 ปี วงเงินกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ให้ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ในแนวเส้นทางน้ำผ่าน หรือฟลัดเวย์กู้ไปก่อสร้างเขื่อนหรือผนังกั้นน้ำถาวร เพราะไม่เคยพูดถึงผลกระทบอย่างรุนแรงที่จะเกิดขึ้น หรือแม้แต่ข้อเสนอแนะทางออกหรือลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมนั้นๆ