โบรกฯหนุน"ซื้อ"KTB แม้นำร่องลดดบ.กด NIM แต่กำไรยังโต-สินเชื่อโต 2 หลัก

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 6, 2012 10:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์หนุนเข้าซื้อ ธนาคารกรุงไทย (KTB) มองแนวโน้มการทำกำไรของธนาคารยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของสินเชื่อ โดยคาดว่าสินเชื่อของธนาคารปี 55 จะเติบโตได้เป็นเลข 2 หลัก ซึ่งสูงกว่าที่ผู้บริหาร KTB ตั้งเป้าเติบโตได้เพียง 7% ขณะที่การนำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก อาจส่งผลให้ NIM ลดลงบ้าง แต่ได้มีผลกระทบกำไรมากนัก เนื่องจากปีนี้ธนาคารจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% และการขยายสินเชื่อจะเน้นในกลุ่มลูกค้า Corporate แม้จะได้รับผลดีจากการลงทุนภาครัฐด้วยก็ตาม

ส่วนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากยอดเงินฝากยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่จะมีผลกระทบต่อ NIM ลดลงเช่นกัน แต่ KTB ก็มีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมมากขึ้น

          โบรกเกอร์          คำแนะนำ            ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.ฟิลลิป          ทยอยสะสม                18.25 (รอทบทวน)
          บล.บัวหลวง          ซื้อ                    19.60
          บล.ไอร่า            ซื้อ                    20.40
          บล.เคทีบี            ซื้อ                    18.30
          บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง   ซื้อ                    18.00
          บล.ทรีนิตี้            ซื้อ                    24.00

นางสาวศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า KTB ยังคงทำกำไรเติบโตได้ต่อเนื่องในปี 55 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 22,000 ล้านบาท จากปี 54 ที่มีกำไรสุทธิ 17,000 ล้านบาท เชื่อว่า KTB จะสามารถปล่อยสินเชื่อขยายตัวได้มากกว่า 7% ตามที่ผู้บริหารได้ตั้งเป้าไว้ โดยอาจจะขยายตัวเป็นเลข 2 หลัก

ส่วนการที่ KTB ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากนำร่องเป็นแห่งแรก หลัง กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% คงจะส่งผลให้ธนาคารอื่นๆปรับลดดอกเบี้ยลงตามเช่นกัน และคงส่งผลต่อ NIM ของ KTB ลดลงบ้าง แต่หากสินเชื่อที่ยังเติบโตได้ดี และหันปล่อยสินเชื่อ Corporate ก็จะทำให้ไม่กระทบต่อกำไร

“ประเด็นที่น่ากังวลคืออัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเงินฝากของแบงก์เพื่อใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุป ปีนี้คงส่งผลไม่รุนแรง เพราะจัดเก็บแค่ครึ่งปี และปีนี้อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% ก็มาช่วย offset ได้ แต่ปีหน้าจะมีผลกระทบจากการเก็บค่าธรรมเนียมเต็มปี และภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 20% ก็มีช่องลดภาษีแค่ 3% เท่านั้น"นางสาวศศิกร กล่าว

ทั้งนี้ ประเมินว่าในปี 55 ระบบธนาคารพาณิชย์จะมีกำไรสุทธิเติบโตประมาณ 9% แต่หากมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นเป็นอัตรา 0.55% ของยอดเงินฝากและบีอีจะกระทบต่อกำไรธนาคารประมาณ 12% และในปีนี้อาจจะเห็นการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆของธนาคารพาณิชย์เพื่อระดมเงินฝากทดแทนการออกบีอี

ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ออกบทวิเคราะห์ คาดกำไรสุทธิของ KTB ปี 55 เติบโต 29% จากปีก่อน คาดการขยายตัวของสินเชื่อในระดับ 9% ผลักดันโดยสินเชื่อภาครัฐ ขณะที่ NIM คาดหดตัวลงเล็กน้อยจาก 2.88% เหลือ 2.83% คาดรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 14.4% ขณะที่ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองคาดลดลงจากปี 54 ที่มีการตั้งสำรองพิเศษสูงกว่าปกติ

นอกจากนี้ KTB จะได้รับประโยชน์จากภาษีนิติบุคคลที่ลดลงจาก 30% เหลือ 23% อย่างไรก็ตามประมาณการดังกล่าวยังไม่รวมผลกระทบจากการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมเงินฝากและตั๋วแลกเงิน เนื่องจากยังขาดความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว แต่ในเบื้องต้นประเมินผลกระทบหากปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเงินฝากเป็น 0.6% และ B/E เป็น 0.35% ส่งผลต่อคาดการณ์กำไรสุทธิของ KTB 14.9%

ประเด็นความกังวลด้านการเพิ่มทุน ผู้บริหารยืนยันว่า ณ ระดับ Tier-1 ปัจจุบันที่ 8.7% ยังคงเพียงพอสำหรับการขยายตัวของธุรกิจ โดยไม่มีความจำเป็นที่ต้องเพิ่มทุน อย่างไรก็ตาม การเพิ่มทุนอาจเป็นทางเลือกในอนาคต ซึ่งจำเป็นต้องมีการเจรจากับกระทรวงการคลังและ FIDF อีกครั้ง โดยปัจจุบัน FIDF เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ KTB ในสัดส่วน 54.7%

เรามีมุมมองในเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของ KTB ที่มีพัฒนาการในเชิงบวกอย่างต่อเนื่องทั้งด้านของคุณภาพสินทรัพย์ สัดส่วนการตั้งสำรองต่อหนี้เสีย และการเติบโตของผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นปัจจุบันยังถูก ซื้อขายที่ระดับเพียง 1.2 เท่า PBV เทียบกับคาดการณ์ ROE สูงระดับ 16% และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต คาด KTB จะจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 54 ที่ 0.6 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend yield 4.0%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ