นางสาวอารยา ธีระโกเมน กรรมการอำนวยการ บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าการขยายตัวของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM)ในปี 55 เติบโต 15-18% หรือเพิ่มเป็น 1.61 แสนล้านบาท จากปีก่อนที่ 1.35 แสนล้านบาท โดยในส่วนของกองทุนรวมคาดว่าสินทรัพย์จะเติบโต 30%, กองทุนส่วนบุคคลเติบโต 16% ขณะที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนมากที่สุดคาดว่าสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้น 13-15% จากปัจจุบันที่มีมูลค่า 85,028 ล้านบาท
ด้านนางแขขวัญ โรจน์วัฒนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ในปีนี้คาดว่าจะมีบริษัทที่จะมอบหมายให้บริษัทบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มขึ้นอีก 350-400 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่ถึง 2,975 บริษัท สำหรับกลยุทธ์ในปีนี้จะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการทำ Employee Choice เพื่อเข้าถึงลูกค้าในเชิงลึก
สำหรับกองทุนสำรองเลี่ยงชีพ ทิสโก้ มาสเตอร์ร่วมทุน ซึ่งเป็นกองทุนประเภทร่วมทุนหลายนายจ้าง ได้รับการตอบรับที่ดี ปัจจุบันมีขนาดกองทุน 18,330 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 115% และมีจำนวนบริษัทนายจ้าง 853 บริษัท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 200% จากวันที่เริ่มกองทุน 1 ก.ค.52
กองทุนดังกล่าวเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถได้เลือกนโยบายลงทุนได้ถึง 5 นโยบาย ได้แก่ 1. ตราสารหนี้ระยะสั้น 2.ตราสารหนี้มั่นคง 3. ตราสารหนี้ 4. ผสม(ลงทุนในหุ้นไม่เกิน 20% ) และ 5.ลงทุนในหุ้น ซึ่งในปีนี้บริษัทจะมีการขยายทางเลือก โดยเฉพาะการลงทุนในทองคำ คาดว่าจะเห็นในไตรมาส 2/55 จากความต้องการของลูกค้าที่ยอมรับความเสี่ยงได้
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ กล่าวถึง การที่ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เริ่มไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียอีกครั้ง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)มีแผนคงอัตราดอกเบี้ยต่ำไปจนถึงปี 57 อย่างไรก็ตาม ในช่วงสั้นนี้แนะนำให้นักลงทุนทยอยขายทำกำไรไปก่อน เนื่องจากยังมีความเสี่ยงจากปัญหาวิกฤตหนี้สินในยุโรปที่ยังไม่มีความชัดเจน รวมทั้ง P/E ตลาดหุ้นไทยถือว่าค่อนข้างสูงอยู่ที่ระดับ 12 เท่า
"ตอนนี้เม็ดเงินกำลังไหลเข้าในตลาดเกิดใหม่อีกครั้งเพราะ P/E ถือว่ายังต่ำ คิดว่าจีนกับเกาหลีน่าสนใจ จีน P/E อยู่ที่ 8 เกาหลี 9 เท่า รวมทั้งดอกเบี้ยยังต่ำ ซึ่งก็ยังสร้างผลตอบแทนได้อีกด้วย ส่วนตลาดบ้านเราถือว่ายังผันผวน ถ้ามีจังหวะก็ให้ขายไปก่อน เพราะขึ้นเร็วและแรงเกินไป"นายธีรนาถ กล่าว
บลจ.ทิสโก้ ให้เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ให้ไว้ที่ระดับ 1,050-1,200 จุด ซึ่งขณะนี้ใกล้ถึงระดับที่ประมาณการไว้แล้ว ทำให้บริษัทอาจจะต้องมีการปรับเป้าหมายอีกครั้ง แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ 2 ปัจจัย ได้แก่ แนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 1-2/55 ของบริษัทจดทะเบียนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร หลังจากงวดไตรมาส 4/55 ผลประกอบการของหลายบริษัทไม่ดีนักจากผลกระทบเหตุการณ์น้ำท่วม รวมต้องต้องติดตามสถานการณ์ในยุโรป ซึ่งยังเป็นปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การผันผวน แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปันผลสูงหรือกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการของภาครัฐ