นายทศพล จินันท์เดช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ. เอ.เจ.พลาสท์(AJ) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายในปี 55 จะมียอดขายเติบโต 20% จากปี 54 โดยหวังว่าตลาดในประเทศฟื้นตัวได้เร็วที่สุด ซึ่งคาดว่าภาพรวมภาคการผลิตและธุรกิจต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเมื่อปีก่อนน่าจะฟื้นตัวและกลับมาดำเนินการตามปกติได้ภายในไตรมาส 2/55 หลังจากเริ่มเห็นลูกค้าบางรายเริ่มกลับมาผลิตแล้ว ขณะที่ตลาดส่งออกยังเติบโตได้ดี
ขณะที่ยอมรับว่าผลประกอบการในปี 54 จะออกมาต่ำกว่าปี 53 ทั้งยอดขายและกำไรสุทธิ เนื่องจากในไตรมาส 4/54 บริษัทได้รับผลกระทบทางอ้อมจากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ทำให้ลูกค้าที่ถูกน้ำท่วมชะลอการสั่งซื้อสินค้า ซึ่งขณะนี้ก็หวังว่าไตรมาสสุดท้ายของปีจะไม่ออกมาขาดทุน
"ในปี 54 เหมือนเราทำงานหายไป 1 ไตรมาส ก็หวังว่าในไตรมาส 4/54 ถ้าเราไม่ขาดทุนก็น่าจะดีแล้ว แม้เราไม่ได้ถูกน้ำท่วมโดยตรง แต่เราส่งของไม่ได้ ลูกค้าที่ถูกน้ำท่วมก็ไม่สั่งสินค้า...ในไตรมาส 1/55 ลูกค้าบางรายเพิ่มจะเริ่มฟื้นตัว เริ่มกลับมาผลิตบ้างแล้ว แต่ยังไม่ทั้งหมด แต่ลูกค้าทุกรายยืนยันที่จะไม่หนีไปไหน แต่รอให้ฟื้นกลับมาตามปกติก่อน"นายทศพล กล่าว
อนึ่ง งวด 9 เดือนแรกของปี 54 บริษัทมียอดขาย 5.14 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 847.39 ล้านบาท ขณะที่ปี 53 มียอดขาย 6 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 984.92 ล้านบาท
นายทศพล กล่าวอีกว่า บริษัทได้ติดตั้งเครื่องจักรผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกเพิ่มอีก 1 เครื่องในปีนี้ เพื่อทดแทนเครื่องจักรเดิม คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในเดือน เม.ย.55 จะช่วยทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มจาก 1 แสนตัน/ปี เป็น 1.4 แสนตัน/ปี ขณะที่การใช้เครื่องจักรใหม่ที่มีเทคโนโลยีดีขึ้นยังจะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้
และในช่วงปลายปี 55 บริษัทจะติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพิ่มอีก 1 เครื่อง และคาดว่าจะเดินเครื่องการผลิตได้ในต้นปี 56 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2.1 แสนตัน/ปี
การเพิ่มกำลังผลิตดังกล่าวเพื่อรองรับการขยายตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะตลาดอาเซียน โดยเครื่องจักรใหม่เหล่านี้สามารถผลิตได้เร็วกว่าเครื่องจักรเดิม และมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง โดยในปี 55 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดส่งออกเป็น 65% และในประเทศ 35% จากปัจจุบันมียอดส่งออก 60% และในปี 56 จะเพิ่มยอดส่งออกเป็นมากกว่า 70% ซึ่งตลาดส่งออกหลักยังเป็นญี่ปุ่น เกาหลี และอาเซียน บริษัทจะขยายฐานลูกค้าเดิมให้มากขึ้น และขยายตลาดไปยังยุโรปและสหรัฐ
นายทศพล กล่าวอีกว่า บริษัทหวังว่าในปีนี้ค่าเงินบาทจะไม่ผันผวนมาก เพื่อที่บริษัทจะไม่ต้องเจอกับการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนในช่วงไตรมาส 3/54 เนื่องจากเป็นช่วงที่เงินบาทอ่อนค่าลงมาก ทำให้บริษัทขาดทุนในทางบัญชี แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนไว้แล้ว
"เงินบาทจะอ่อนหรือจะแข็งเราไม่ห่วง เพราะเราซื้อสินค้าเครื่องจักรและส่งออกเป็นเป็นเงินตราต่างประเทศ แต่หวังให้เงินบาทนิ่งมากกว่า แต่เราก็ได้มีการป้องกันความเสี่ยงไว้หมดแล้ว" นายทศพล กล่าว