ฟิทช์ปรับแนวโน้มเครดิตบมจ.ปูนซิเมนต์ไทยเป็นมีเสถียรภาพและคงอันดับเครดิตที่ A(tha)

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 10, 2012 14:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC เป็นแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพจากแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นบวก ในขณะเดียวกันฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของ SCC ที่ระดับ ‘A(tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ ‘F1(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันไม่ด้อยสิทธิของ SCC ที่ระดับ ‘A(tha)’

นอกจากนี้ ฟิทช์ได้จัดอันดับเครดิตภายในประเทศสำหรับหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ของ SCC ครั้งที่ 1/2555 มูลค่าไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2559 ที่ระดับ ‘A(tha)’ โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่นี้จะนำมาใช้ชำระคืนหุ้นกู้เดิมที่ถึงกำหนดชำระ และใช้ในการลงทุน

การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำกว่าที่คาด ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากส่วนต่างกำไรของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับต่ำ สภาวะแวดล้อมที่ท้าทายในการดำเนินธุรกิจของธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะส่งแรงกดดันต่ออัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขาย (EBITDA margin) ของบริษัทฯ และส่งผลให้การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินในช่วงปี 2555 ถึง 2556 ล่าช้าไปจากที่คาดไว้ ดังนั้นความเป็นไปได้ในการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นในช่วง12 ถึง 18 เดือนข้างหน้าจึงลดลง

อันดับเครดิตของ SCC สะท้อนถึงการที่บริษัทฯมีการกระจายความเสี่ยงของรายได้จากธุรกิจต่างๆ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมี ปูนซีเมนต์ กระดาษ และอุปกรณ์ก่อสร้าง สถานะความเป็นผู้นำในตลาดภายในประเทศของธุรกิจปูนซีเมนต์และกระดาษน่าจะช่วยรักษาความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วงที่สภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจปิโตรเคมียังคงมีความท้าทายอยู่สูงในปี 2555 นอกจากนี้การที่บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่หลากหลายน่าจะช่วยบรรเทาการลดลงของอุปสงค์ในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสายใดสายหนึ่งโดยเฉพาะได้

ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของบริษัทฯน่าจะลดลงต่อเนื่องในปี 2555 เนื่องจากส่วนต่างกำไรของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีน่าจะยังคงอ่อนตัวลงอีก อย่างไรก็ตามธุรกิจปูนซีเมนต์ กระดาษ และอุปกรณ์ก่อสร้างที่มีความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่าน่าจะช่วยให้บริษัทฯสามารถรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของบริษัทฯให้อยู่ในระดับร้อยละ 7 ถึงร้อยละ 9 ในปี 2555 ทั้งนี้ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของบริษัทฯ น่าจะค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นตามวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจปิโตรเคมีในปี 2556

ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของ SCC ที่ไม่รวมการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ น่าจะอยู่ประมาณ 3 ถึง 4 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2555 ถึง 2556 แม้ว่าบริษัทฯต้องเผชิญกับการดำเนินธุรกิจในสภาวะแวดล้อมที่ท้าทาย ฟิทช์คาดว่าบริษัทฯ น่าจะสามารถรองรับการลงทุนในระดับดังกล่าวได้ โดยยังคงสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สิน ให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันได้

อันดับเครดิตของบริษัทฯถูกจำกัดโดยปัจจัยเสี่ยงจากการที่บริษัทฯต้องเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจปิโตรเคมีและกระดาษ รวมถึงความผันผวนของภาคธุรกิจที่ใช้ปูนซีเมนต์และอุปกรณ์ก่อสร้างเป็นหลัก นอกจากนี้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทฯยังคงมีความเสี่ยงจากราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่สภาวะอุปทานส่วนเกินในธุรกิจปูนซีเมนต์ยังส่งผลให้มีการแข่งขันทางด้านราคาเป็นครั้งคราวซึ่งอาจส่งผลให้อัตราส่วนกำไรของบริษัทฯลดลงในบางช่วงอีกด้วย นอกจากนี้อิทธิพลในการกำหนดราคาในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ของธุรกิจปูนซีเมนต์ ปิโตรเคมี และกระดาษที่จำกัดยังเป็นปัจจัยลบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ โดยเฉพาะในช่วงวงจรขาลงของธุรกิจอีกด้วย

ฟิทช์อาจจะพิจารณาปรับเพิ่มอันดับเครดิต SCC ถ้าบริษัทฯมีสัดส่วนของกระแสเงินสดที่มาจากธุรกิจในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากและต่อเนื่อง รวมถึง สามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) ให้ต่ำกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงจาก ความสามารถในการทำกำไรที่ลดต่ำลงอย่างมาก รวมถึง สภาวะขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีที่ยืดเยื้อ หรือ การขยายกิจการอย่างก้าวกระโดดที่ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) เพิ่มขึ้นสูงกว่า 3.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ