บมจ.น้ำตาลครบุรี(KBS)วางเป้าหมายปี 55 รายได้เติบโต 5-7% จากปีก่อน หลังกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 2.3 หมื่นตันอ้อย/วัน จากปีก่อนอยู่ที่ 2.1 หมื่นตันอ้อย/วัน รวมทั้งราคาขายน้ำตาลในตลาดต่างประเทศเฉลี่ยที่ 24.75 เซนต์/ปอนด์ทำสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ และสูงกว่าปีก่อนที่มีราคาเฉลี่ย 22.50 เซนต์/ปอนด์ จากแนวโน้มราคาน้ำตาลโลกถีบตัวสูงขึ้น ขณะที่ได้ขายน้ำตาลล่วงหน้าในปี 56 แล้วประมาณ 15% ในราคาเฉลี่ย 24.50 เซนต์/ปอนด์ จากราคา spot ขณะนี้ที่ 24 เซนต์/ปอนด์
ขณะที่คาดว่าจะมีอ้อยเข้าหีบในปีนี้เท่ากับ 2.8 ล้านตันใกล้เคียงปีก่อน แต่เนื่องจากบริษัทหันมาเน้นผลิตเป็นน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ทำให้มีมาร์จิ้นดีต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปีนี้อัตรากำไรสุทธิ(Net Profit Margin)จะอยู่ระดับ 13% ใกล้เคียงปีก่อน ขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำตาลรายขาวรีไฟน์เพิ่มเป็น 1,200 ตัน/วัน จากเดิมที่ระดับ 1,000 ตัน/วัน นอกจากนี้ ประสิทธิภาพการสกัดดีขึ้นทำให้ผลผลิตต่อตันอ้อย(yield)น้ำตาลดีขึ้นตามปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 104 จากเดิมอยู่ที่ระดับ 102.5
"คาดว่ายอดขายในปี 55 จะโต 5-7% เพราะคาดว่าปริมาณอ้อยจะไม่เพิ่มจากปีก่อน ภาพรวมทั้งประเทศก็ไม่เพิ่ม สิ่งที่เราทำในปี 55 ได้ปรับปรุงเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพ ทำน้ำตาลทรายขาวได้มากขึ้น"นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ KBS กล่าว
บริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีกเป็น 2.5 หมื่นตันอ้อยจะเริ่มผลิตในปี 56 ใช้เงินลงทุน 200 ล้านบาทเป็นเงินทุนจากการขายหุ้น IPO
ทั้งนี้ บริษัทได้ทำการเปลี่ยนรอบบัญชีใหม่ จากต.ค.-ก.ย. เป็น ม.ค.-ธ.ค. ตามปีปฏิทิน ตั้งแต่ปี 55 (ม.ค.-ธ.ค.55) เพื่อสะท้อนความเป็นจริงโดยบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากการส่งออกน้ำตาลในเดือนม.ค.
ดังนั้น ยอดขายในปี 54 จะเปลี่ยนไป จากงวดบัญชีเดิม (สิ้นสุด ก.ย.54) มีจำนวน 236,861 ล้านตัน เป็นรอบบัญชีใหม่ (สิ้นสุดธ.ค.54) จะเป็น 292,580 ล้านตัน ทั้งนี้ บริษัทมียอดส่งออก 70% ของปริมาณการผลิตและขายในประเทศ 30%
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า จาก 5 เมกะวัตต์ เป็น 20 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 1.5-2 พันล้นบาท จากแผนเดิมจะเพิ่มเป็น 8-10 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน 500 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนมี.ค.นี้ และจะนำเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาไม่เกินเดือน พ.ค. ทั้งนี้คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปลายปี 57 ทั้งหมดจะขายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)
นายอิสสระ กล่าวว่า แหล่งเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่จะนำจากเงินที่ขายหุ้น IPO บริษัทจะนำมาจากกระแสเงินสดบริษัทที่มีเพิ่มขึ้นจากผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง และหากมีการกู้เงิน คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ก็จะไม่เพิ่มขึ้นมากจากปัจจุบันอยู่ที่ 0.6 เท่า
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนจะขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจเอทานอล เนื่องจากเห็นแนวโน้มเติบโตดี แต่ไม่ได้รีบร้อน คาดว่าจะเห็นแผนลงทุนภายใน 5 ปีนี้ ส่วนหนึ่งรอความชัดเจนนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับพลังงานทดแทน
นายอิสสระ กล่าวว่า บริษัทได้ศึกษาแนวทางการดำเนินธุรกิจเอทานอลไว้หลายแนวทาง โดยตั้งเป้าหมายจะผลิตเอทานอลกว่า 3 แสนลิตร/วัน โดยบริษัทจะหาพันธมิตรที่สนับสนุนด้านเทคโนโลยี ซึ่งอาจไปผลิตไบโอดีเซลหรือผลิตเอทานอลเพื่อส่งออก ทั้งนี้บริษัทได้จัดตั้งบริษัท Kornburi Energy จำกัดรองรับไว้แล้ว
"ตอนนี้ศึกษาอยู่ เรื่องเอทานอลไม่ใช่อนาคตอันใกล้ แต่เชื่อว่าภายใน 5 ปีจะเห็นชัดเจน... การลงทุนสิ่งสำคัญต้องมีพันธมิตร อยู่คนเดียวค่อนข้างเสี่ยง เราไม่ต้องการทุนจากใคร แต่ต้องการเทคโนโลยีมากกว่า เราต้องการคนร่วมหัวจมท้าย"นายอิสสระ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทมีแนวคิดจะผลิตรถตัดอ้อยขนาดเล็กเพื่อขายในเขิงพาณิชย์ คาดว่าใช้งบลงทุน 150 ล้านบาท เพราะเห็นว่าความต้องการมีแนวโน้มสูงขึ้นรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา โดยลดการใช้แรงงานที่แนวโน้มหายากขึ้น และค่าแรงสูงขึ้น เริ่มแรกในปีนี้จะผลิตเพื่อใช้ในโรงงานของบริษัท ประมาณ 7-10 คัน และคาดว่าจะขายได้ในปี 56