นายไพบูลย์ นรินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ประเทศไทยมีโอกาสที่จะถูกปรับลดอันดับไปอยู่ประเทศที่อยู่ในกลุ่มเฝ้าระวังอันดับ 1 จากเดิมอยู่ในอันดับ 2 จากคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (FATF) หลังประเทศไทยมีความล่าช้าในการออกกฎหมาย 2 ฉบับ ในการผลักดันการฟอกเงินทั้งกฏหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินและการก่อการร้าย จากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จากสภาธุรกิจฯ มองว่าหากไม่รีบแก้ปัญหา ในระยะยาวจะส่งผลกระทบในด้านการแข่งขันและการลงทุนของไทย โดยเฉพาะต่างชาติที่อาจมีความเข้มงวดการลงทุนมากขึ้น และความเชื่อมั่นลดลง เพราะสิงคโปร์กับมาเลเซียปลอดจากเรื่องนี้ จึงอาจจะเห็นว่าต่างชาติย้ายการลงทุนออกไป
"ในระยะสั้นคิดว่าไม่น่ากระทบมาก แต่หากไม่รีบแก้ไขหรือเร่งผลักดันอาจจะทำให้เราเสียเปรียบคู่แข่ง ทั้งๆ ที่ตอนนี้เราได้เปรียบ ขณะที่บางกองทุนจะซีเรียสกับประเทศที่ถูกลดอันดับ อาจทำให้ภาพเราไม่ดี เม็ดเงินก็จะหายไป"นายไพบูลย์ กล่าว
ปัจจุบัน ประเทศที่อยู่อันดับ 2 มีเวียดนาม อินโดฯ ฟิลิปปินส์ และไทย ถ้าอันดับ 1 มีพม่า ศรีลังกา คิวบาและเคนยา
สำหรับการร่วมมือและประสานงานกับภาครัฐ เราจะเข้าไปพูดคุยกับรัฐบาล และคาดว่าจะเห็นในปีนี้จะเห็นการกลับมาเป็นอันดับ 2 เหมือนเดิม และคิดว่าประเทศไทยไม่ควรเป็นประเทศที่ไม่น่าทำธุรกิจ (non co-operative country territory)
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า หากไทยเป็นประเทศที่ถูกเฝ้าระวังอันดับ 1 เชื่อว่าจะกระทบต่อการทำธุรกรรมในตลาดทุนในวงจำกัด โดยตลท.จะประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เพื่อติดตามการประเมินของภาครัฐในเรื่องกฎหมายดังกล่าว
แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าต่างชาติยังไม่เห็นลดการลงทุนเพราะเมื่อเทียบกับภูมิภาคประเทศไทยยังดี แต่อาจล่าช้าในการตัดสินใจไปบ้าง ทั้งนี้จะมีการประสานความร่วมมือเพื่อเตรียมพร้อมกับการประกาศของ FATF และประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเร่งผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ