นายบัณฑิต โชติวรรณพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น(TCC) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯในปี 2555 ยอดขายยังเติบโตโดดเด่นทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พร้อมกำไรเติบโตก้าวกระโดด เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากภาพรวมในขณะนี้ บริษัทฯยังสามารถที่จะเติบโตไปได้อีกไกล เนื่องจากในขณะนี้บริษัทฯยังสามารถที่จะเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกเป็นจำนวนมาก โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ ในปี 55 บริษัทฯได้มีการปรับประมาณการ เป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท หรือเป็นการเติบโตกว่าเท่าตัวต่อเนื่องอีกปีเช่นกัน โดยมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง เป็นตัวผลักดันการเติบโต โดยมีคำสั่งซื้อ และปริมาณของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าบริษัทจะมีสัดส่วนลูกค้าทั้งใน และนอกประเทศ ในอัตราส่วนแบบ 1:1 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากยอดขายที่แข็งแกร่งจากฐานลูกค้าเดิมควบคู่กับปริมาณการสั่งซื้อที่ก้าวกระโดดของลูกค้าต่างประเทศ
สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 54 บริษัทฯ มียอดขาย 1,195.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 152.4% จากปีก่อนที่มียอดขาย 473.4 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิกว่า 86.5 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 230% เมื่อเทียบกับปี 53 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 26.2 ล้านบาท
“ในปี 54 บริษัทฯสามารถทำรายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ค่อนข้างมาก โดยรายได้เติบโตจาก 473 ล้าน เป็นเกือบ 1,200 ล้านบาท ซึ่งทะลุเป้าที่เราตั้งกันไปประมาณ 1,000 ล้านเท่านั้น และบริษัทฯได้ถูกจัดอันดับจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ติดหนึ่งในรายชื่อบริษัทมหาชนที่มีการเติบโตของยอดขายและกำไรที่ดีที่สุดในปี 54
สิ้นปี 54 บริษัทฯมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 152.4% และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 230% ซึ่งเป็นผลจากการเน้นดำเนินธุรกิจโดยจับกลุ่ม ลูกค้าที่มีศักยภาพจากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งขยายฐานทั้งลูกค้ากลุ่มใหม่ในอุตสาหกรรมต่าง ๆเพิ่มขึ้น และผลักดันให้ลูกค้าเดิม อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมอาหารคนและสัตว์ มีการสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย"นายบัณฑิต กล่าว
เนื่องจากบริษัทได้เปิดโรงงานใหม่อีก 1 แห่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับฐานลูกค้า จึงช่วยลดต้นทุนในการจัดส่งถ่านหิน รวมทั้งเป็นการ ขยายกำลังการผลิตให้สูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร และยอดขายของบริษัทฯ ให้สูงขึ้นไปพร้อมกัน และหลังจากเปิดโรงงานแห่งใหม่ ทำให้บริษัทฯมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯยังคงมีกำลังการผลิตเหลืออยู่อีกประมาณ 50 — 60 % ของความสามารถในการผลิตทั้งหมด
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯได้มีมติในการแจกใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 3 (TCC — W3+) โดยไม่คิดมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตรา 10 หุ้นเดิม ต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิใหม่ ซึ่งมีอัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญ และมีราคาการใช้สิทธิ 1.00 บาท ต่อหุ้น โดยจะนำเข้าเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติต่อไป