บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)(DELTA)เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเข้าซื้อกิจการบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบในต่างประเทศภายในปีนี้ โดยหวังว่าจะช่วยผลักดันอัตรากำไรสุทธิของบริษัทให้สูงขึ้นเป็น 10-11% จากปีก่อนอยู่ที่ 6-7% พร้อมทั้งสนใจพิจารณาซื้อกิจการในแถบยุโรปที่มีการเสนอขายกันเป็นจำนวนมากหลังจากเกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในครึ่งหลังของปีนี้
นอกจากนั้น ยังศึกษาการขยายกิจการไปสู่การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในอนาคตเพื่อต่อยอดธุรกิจหลัก ซึ่งคาดว่าจะใช้รูปแบบการเข้าซื้อกิจการ
นายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการบริหาร DELTA เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเข้าเทคโอเวอร์บริษัทผลิตวัตถุดิบในต่างประเทศเพื่อลดต้นทุน ซึ่งรูปแบบดังกล่าวนี้ถือเป็นการปรับกลยุทธของบริษัทจากเดิมที่จะเข้าเทคโอเวอร์เพื่อตั้งฐานการผลิตซึ่งต้องใช้เงินสูง แต่ในลักษณะนี้ถือเป็นการเทคโอเวอร์ที่ใช้เงินไม่มาก และยังเป็นการลดต้นทุนโดยตรง รวมทั้งยังเป็นการหาแหล่งผลิตเพิ่มเติมเพื่อกระจายความเสี่ยง หลังจากปีที่แล้วบริษัทได้รับประสบการณ์จากน้ำท่วมทำให้มีปัญหาด้านซัพพลายสินค้า
อย่างไรก็ตาม ในปี 55 เชื่อว่ายอดขายยังเติบโตจากปี 54 แต่บริษัทจะเน้นการเติบโตของกำไรมากกว่า โดยการเติบโตของยอดขายจะอยู่ภายใต้ความกังวลในเรื่องปัญหาเศรษฐกิจของยุโรปและสหรัฐอเมริกาชะลอตัว ซึ่งปัจจุบันตลาดของบริษัท 60% อยู่ในยุโรป ส่งผลให้บริษัทต้องปรับตัวด้วยการหันมาเจาะตลาดอาเซียนมากขึ้น เช่น กัมพูชา อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา แต่ในเบื้องต้นคาดว่าจะส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายก่อน
ส่วนประเทศอินเดียที่บริษัทเข้าลงทุนปีที่แล้ว คาดว่าในปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ตามการเติบโตของธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งจะส่งผลต่อสัดส่วนรายได้ในตลาดเอเชียเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 20-25% ยุโรป 60% และสหรัฐ 15-20%
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า จากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ทำให้มีบริษัทในยุโรปเข้ามาเสนอขายกิจการมา ซึ่งส่วนใหญ่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ดังนั้น การตัดสินใจซื้อกิจการที่น่าสนใจคาดว่าจะเห็นข้อสรุปได้ภายในครึ่งหลังปีนี้ จากที่อยู่ระหว่างการศึกษาและรวบรวมข้อมูลของแต่ละบริษัทที่ยื่นข้อเสนอเข้ามา
นอกจากนี้ ยังศึกษาเข้าเทคโอเวอร์ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นการต่อยอดธุรกิจหลักเกี่ยวกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้ และยังเป็นการเพิ่มกำไรด้วย โดยมองว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ จะสนับสนุนให้การรับงานของบริษัทมีมากขึ้น
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า บริษัทมีความสามารถในการเข้าเทคโอเวอร์กิจการอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดมากถึง 10,000 ล้านบาท โดยในปี 54 ก็เข้าเทคโอเวอร์ 2 บริษัท คือที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทำธุรกิจโซลาร์เซลล์และที่อินเดียทำธุรกิจด้านเทเลคอม
"ปีนี้การที่จะเดินเป็นขั้นเป็นตอนแบบในที่ผ่านมาคงจะไม่ได้ รูปแบบต้องเปลี่ยนไป อย่างการลงทุนรูปแบบก็จะไม่เหมือนเดิม เพราะเราจะต้องบริหารความเสี่ยง และใช้ทุนรอบคอบมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจโลกที่มองยังไม่ดี และอาจจะลากยาวไปกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศจีน ทำให้เราต้องรีบคิดและปรับแผนกลยุทธในการเดินไปข้างหน้า การรุกไปอาเซียนนั้นก็ยังคงใช้แบรนด์เยอรมัน เพราะการเข้าอาเซียนต้องแข่งขันด้านคุณภาพกับจีน เป็นไปตามแผนที่จะช่วยขยายตลาดได้ เพราะอาเซียนยังเติบโตดี"นายอนุสรณ์ กล่าว