นายชายนิด โง้วศิริมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริการ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค(PF)คาดว่า ในปีนี้บริษัทจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากเป็นราว 1.5 พันล้านบาท จากปีก่อนอยู่ในระดับ 500 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิเพิ่มเป็น 11%จาก 6-7% ในปี 54 และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 34% ตามการโอนคอนโดมิเนียมที่จะเพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งจะได้รับประโยชน์จากมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล
บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 55 ไว้ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 60% จากปีก่อน แบ่งเป็นยอดขายแนวราบ 7.8 พันล้านบาท คอนโดมิเนียม 9.2 พันล้านบาท ขณะที่ยอดรับรู้รายได้จะอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีการเปิดโครงการใหม่ 24 โครงการ มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 1.18 หมื่นล้านบาท บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ 5 โครงการ มูลค่า 4.1 พันล้านบาท คอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่า 7.3 พันล้านบาท และหอพักนักศึกษา 2 โครงการ มูลค่า 1.8 พันล้านบาท
นางศิริรัตน์ วงศ์วัฒนา รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุน PF กล่าวว่า จากต้นปีถึง ก.พ.55 บริษัทมียอดขายแล้ว 1.2 พันล้านบาท เติบโต 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 750 ล้านบาทท และมั่นใจว่าปีนี้อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อยอดขายจะเป็นตัวเลข 2 หลัก ซึ่งสูงสุดในรอบ 4 ปี
ในปีนี้บริษัทยังให้ความสำคัญและเน้นความเข้มแข็งด้านการเงิน โดยแปลงหนี้ระยะสั้นให้เป็นหนี้ระยะยาว โดยในเดือน มี.ค.นี้บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ 2.5 พันล้านบาท อายุ 2 ปี 500 ล้านบาท และอายุ 3 ปี 2 พันล้านบาท คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะเฉลี่ยที่ประมาณ 5% ซึ่งเงินที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้คืนหนี้เดิม
บริษัทเตรียมจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะนำโครงการหอพักนักศึกษายูนิลอฟท์เชียงใหม่ ขายให้เป็นสินทรัพย์ของกองทุน รวมทั้งมีแผนจะนำโครงการยูนิลอฟท์มหิดล ศาลายา ขายเป็นสินทรัพย์ของกองทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งโครงการทั้งสองแห่งมีมูลค่ารวมกัน 2.2 พันล้านบาท
นายชายนิด กล่าวอีกว่า รายได้ของบริษัทในปีนี้จะกระจายไปในทุกธุรกิจ แต่จะมาจากคอนโดมิเนียมในสัดส่วนมากที่สุด เพราะมีกำหนดโอน 6.5 พันล้านบาทในโครงการเมโทร พาร์ค และ เมโทร สกาย ขณะที่ยอดขายรอโอน(backlog) ณ สิ้นปี 54 อยู่ที่ประมาณ 3.7 พันล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ประมาณ 2.6 พันล้านบาท และทยอยรับรู้ในปี 56 ประมาณ 430 ล้านบาท และปี 57 อีก 640 ล้านบาท
และบริษัทยังจะมีรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยมี บล.ซีไอเอ็มบี(ไทย)เป็นผู้บริหารกองทุน ทั้งโครงการหอพักนักศึกษายูนิลอฟท์ที่เชียงใหม่และศาลายา และส่วนหนึ่งก็จะถือหน่วยลงทุนอยู่ด้วย คาดว่ากองทุนดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนที่ 7% ต่อปี และในปี 56 ก็จะนำหอพักยูนิลอฟท์เอแบคเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตของรายได้มีความยั่งยืน
ส่วนการพัฒนาคอมมูนิตี้มอลล์ภายใต้ บมจ.วีรีเทล ที่บริษัทได้ซื้อกิจการมา บมจ.ไดโดมอน อยู่ระหว่างการพัฒนา 2 โครงการ ที่สาทร และสุขุมวิท 77 เริ่มก่อสร้างในปีนี้และรับรู้รายได้ในปี 56 โดยบริษัทจะนำเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 56 และอยู่ระหว่างพิจารณาพันธมิตรเข้าร่วมทุน แต่ขอรอดูแผนการดำเนินงานโครงการในช่วง 3 ปีก่อน หากมีการขยายตัวในอัตราที่ดี ก็อาจจะดึงพันธมิตรเข้ามา ซึ่งขณะนี้มีนักธุรกิจจากสิงคโปร์และญี่ปุ่นให้ความสนใจ หรือบริษัทอาจจะระดมทุนเองผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ
นายชายนิด กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทได้ปรับกลยุทธในการพัฒนาโครงการด้วยการใช้ชิ้นส่วนสำเร็จรูป(พรีแฟบ)มาใช้ในการสร้างบ้านมากขึ้น เน้นบ้านขนาดเล็กที่มีระดับราคา 3-4 ล้านบาท เพื่อลดปัญหาต้นทุน โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะใช้ระบบพรีแฟบสร้างบ้านเพิ่มเป็น 60% ในข่วงกลางปีนี้ จากเดิม 40% เพราะช่วยลดเวลาการก่อสร้างลงจาก 6-8 เดือน เหลือ 3-4 เดือน
พร้อมกันนั้นก็จะสร้างโรงงานเพิ่มอีก 2 แห่ง ลงทุนแห่งละ 40 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีอยู่ที่ บางใหญ่ และรัตนาธิเบศร์
ในปีนี้บริษัทปรับลดงบลงทุนซื้อที่ดินเหลือ 2.5 พันล้านบาท จากปีก่อน ๆ ที่ใช้ราว 3 พันล้านบาท และจะหันมาใช้แลนด์แบงก์ที่มีอยู่ใกรพัฒนา เพื่อลดความเสี่ยงและบริหารด้านการเงินของบริษัท ส่วนปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นจะต่อเนื่องถึงปีนี้หรือไม่ อยู่ระหว่างการรอดูมาตรการของภาครัฐทีเป็นรูปธรรมให้มีความชัดเจนก่อน แต่เท่าที่ประเมินเบื้องต้นก็มีแนวโน้มที่ดี บริษัทก็อาจจะทบทวนการลงทุนซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง
แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะมีอัตราเติบโตราว 15% เนื่องจากความต้องการซื้ออั้นมาจากปีก่อน และแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้สูงถึง 5-6% ขณะเดียวกันราคาต้นทุนก็จะเพิ่มขึ้นตาม โดยรวมอาจจะเพิ่มขึ้นถึง 15% ในครึ่งปีหลัง เนื่องจากการปรับขึ้นค่าแรง ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าพัฒนาโครงการ ซึ่งในส่วนของบริษัทก็อยู่ระหว่างการประเมิน หากมีการปรับเพิ่มก็คงจะเห็นในครึ่งปีหลังเฉลี่ย 6% เน้นที่บ้านราคาแพงและคอนโดมิเนียม