หุ้น BIGC ราคาขยับขึ้น 4.60% มาอยู่ที่ 136.50 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท มูลค่าซื้อขาย 137.40 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.35 น. โดยเปิดตลาดที่ 132.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 136.50 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 132 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯปรับคำแนะนำหุ้น บมจ. บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC)จาก ถือ เป็น "ซื้อ" เนื่องจากกำไรเติบโตอย่างมีนัยสำคัญใน 4Q54 จากผลประโยชน์ที่เกิดจากการรวมธุรกิจกับคาร์ฟูร์ และมีการบันทึกค่าชดเชยความเสียหายจากน้ำท่วม โดยได้มีการปรับประมาณการกำไรขึ้นสะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่งจากการมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น ทำให้มีอำนาจในการต่อรองกับซัพพลายเออร์ และเกิดการประหยัดจากขนาด ราคาเหมาะสมปรับขึ้นจาก 131 บาท เป็น 158 บาท
BIGC รายงานกำไรสุทธิ 4Q54 เพิ่มขึ้นถึง 196% qoq และ 221% yoy เป็น 2,399 ล้านบาท มีการบันทึกรายได้จากการชดเชยความเสียหายจากน้ำท่วมซึ่งคาดว่าจะได้รับจากประกันภัย 645 ล้านบาท ยอดขายและรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากการรวมธุรกิจกับคาร์ฟูร์และการมีจำนวนสาขาบิ๊กซี (ในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต) เพิ่มขึ้น 3 สาขา อัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากการเจรจาต่อรองเงื่อนไขการค้ากับซัพพลายเออร์ได้ดีขึ้นหลังจากการรวมกิจการกับคาร์ฟูร์ ขณะที่การสั่งซื้อสินค้าในปริมาณมากขึ้นยังทำให้ได้รับเงินสนับสนุนการขายจากซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้น กำไรสุทธิปี 2554 เพิ่มขึ้น 86% เป็น 5,242 ล้านบาท (6.54 บาท/หุ้น) จากการเติบโตทั้งในส่วนของบิ๊กซีเองและการรวมคาร์ฟูร์
นอกจากนี้ ในส่วนของการเพิ่มทุนยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยจะมีการจัดประชุมคณะกรรมการบริษัทในปลายเดือน มี.ค. เพื่อพิจารณาการเพิ่มทุนเพื่อนำไปชำระหนี้และใช้ในการขยายสาขา BIGC มีเงินกู้ยืมระยะสั้น 36,500 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2554 โดยมีการขยายระยะเวลาชำระคืนจาก 6 ม.ค. ไปเป็น 7 ก.ค. 2555 ปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินสุทธิ/EBITDA อยู่ที่ 2.5 เท่า หากการเพิ่มทุนทำได้สำเร็จ BIGC จะนำเงินส่วนหนึ่งไปคืนหนี้ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ลดลง และสามารถเร่งขยายสาขาในทุกรูปแบบทั้งไฮเปอร์มาร์เก็ตและสาขาขนาดเล็กได้ตามแผน