นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี(AIT) เปิดเผยว่า บริษัทมีมูลค่างานที่รอรับรู้รายได้ (Backlog)ณ สิ้นเดือน ธ.ค.54 ประมาณ 3,088 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ เป็นส่วนใหญ่ จึงได้ตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 55 ที่อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 10% หรือประมาณ 5,300 ล้านบาท
บริษัทมีแผนรุกขยายธุรกิจวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ เตรียมแผนขยายตลาดไปยังต่างประเทศในปี 55 เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ในปี 58 ประเทศเป้าหมายคือ กัมพูชา พม่า ลาว ซึ่งมีความจำเป็นและมีศักยภาพในการลงทุนด้านเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ล่าสุด บริษัทฯ ได้เตรียมเข้าไปตั้งสำนักงานตัวแทนที่ประเทศกัมพูชา ภายในกลางปีนี้ เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาด ซึ่ง AIT มีศักยภาพและความพร้อมทุกด้าน ทั้งเงินทุน บุคลากร และเทคโนโลยี
“ประเทศพม่าก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเริ่มเปิดประเทศ ซึ่ง AIT จะไม่ละทิ้งโอกาสนี้ โดยวิธีการเข้าไปรับงานในต่างประเทศก็ทำได้หลายรูปแบบ ทั้งการเปิดสำนักงานสาขาในต่างประเทศ การจับมือกับพันธมิตรในประเทศนั้นๆ หรือการเข้าไปถือหุ้นบริษัทที่อยู่ในประเทศนั้นๆ เป็นต้น" นายศิริพงษ์ กล่าว
ส่วนตลาดในประเทศนั้น บริษัทฯ มองว่าภาครัฐยังมีแผนเดินหน้าลงทุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อเสริมศักยภาพของประเทศให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มขึ้น เช่น โครงการไฟเบอร์ออฟติก โครงการ High Speed Broadband และ FreeWiFi รวมถึงการเปิดประมูลใบอนุญาตโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 3G ของ กสทช. ที่ก่อให้เกิดการลงทุนด้านเทคโนโลยีการสื่อสารเพิ่มขึ้น
ขณะที่ภาคเอกชนที่กลุ่มลูกค้าสถานบันการศึกษาและสถาบันการเงิน ยังคงลงพัฒนาระบบไอทีอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ ซึ่งมีจุดแข็งที่มีความชำนาญด้านการวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีพันธมิตรระดับ Gold Partner กับ Cisco System ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านอุปกรณ์เครือข่าย (Networking Solutions) ระดับโลก ประกอบกับความพร้อมด้านบุคลากรของ AIT ที่มีประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญได้รับการยอมรับจากลูกค้า เพื่อเข้าร่วมประมูลงาน ซึ่งคาดว่า AIT จะมีโอกาสรับงานจากโครงการต่างๆ ที่มาจากกลุ่มลูกค้าภาครัฐและภาคเอกชนมากขึ้น
ส่วนผลประกอบการปี 54 บริษัทฯ มีรายได้จากงบเฉพาะกิจการรวมทั้งสิ้น 4,823.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.67% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้ 4,565.31 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการ 438.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.77% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 379.14 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 6.57 บาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้นของงบการเงินเฉพาะกิจการ 5.97 บาท
“ผลการดำเนินงานปี 2554 เรายังสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางด้านรายได้และกำไรได้เป็นอย่างดี แม้ว่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ต้องประสบกับปัญหาการส่งมอบงานให้ลูกค้าจากปัญหาวิกฤติน้ำท่วม แต่บริษัทฯ ยังรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถทางการแข่งขันและการบริการลูกค้าที่ดีขึ้น หลังได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพิ่มขึ้น" นายศิริพงษ์ กล่าว
จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังของปี 2554 (มิถุนายน-ธันวาคม 2554) ในอัตราหุ้นละ 3.5 บาท หลังจากบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก (มกราคม -มิถุนายน 2554) ไปแล้วในอัตราหุ้นละ 1.5 บาท โดยรวมแล้วบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นทั้งปี 2554 หุ้นละ 5 บาท หรือคิดเป็น 76% ของกำไรสุทธิ ซึ่งอัตราปันผลในปีนี้สูงกว่าอัตราปันผลในปีที่ผ่านมาอยู่ 0.5 บาท โดยบริษัทฯ กำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 24 เมษายน 2555 สำหรับผู้ที่ถือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญแก่ผู้ถือหุ้นเดิม (AIT-W1) สามารถใช้สิทธิได้ในวันที่ 31 มีนาคม 2555 ในราคา 16.5 บาทต่อหุ้น และยังสามารถมีสิทธิรับเงินปันผลดังกล่าวได้ โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 4 พฤษภาคม 2555