บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่นส์ โปรดักส์(TUF) ตั้งงบลงทุนปีละ 3 พันล้านบาท ไม่รวมหากมีการซื้อกิจการใหม่เพิ่มเข้ามา พร้อมตั้งเป้าทำรายได้แตะ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 63 จาก 5 พันล้านเหรียญในปี 58 ขณะที่บริษัทยังมองโอกาสที่จะหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ ๆ เช่นในพม่าและอินโดนีเซียหลังจากเปิดเสรีประชาคมอาเซียน (AEC) เพราะที่พม่าติดทะเล เชื่อว่าจะสามารถนำวัตถุดิบจากทะเลมาป้อนโรงงานในไทยได้ แต่จะไม่มีการตั้งโรงงานในพม่า เนื่องจากโรงงานในไทยมีคุณภาพดีอยู่แล้ว ทั้งคนและการบริหารจัดการ
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนออกหุ้นกู้เพิ่มเติม เนื่องจากต้องการเดินหน้าแผนลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E)ให้เหลือ 1:1 ภายในปี 56 ขณะที่การรรีไฟแนนซ์แล้วเสร็จตั้งแต่ปี 54
ปัจจุบัน บริษัทมีหนี้อยู่ 3.9 หมื่นล้านบาท โดยแผนจะลด D/E ให้เหลือ 1:1 ในปี 56 โดยคาดว่าปลายปีนี้จะเหลือ D/E 1.3 เท่าหรือต่ำกว่า จากสิ้นปีอยู่ที่ 1.47 เท่า
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร TUF กล่าวว่า บริษัทมี EBITDA 1 หมื่นล้านบาท โดยกันไว้สำหรับงบลงทุนแต่ละปีไม่เกิน 3 พันล้านบาท และปันผลประมาณ 1.2 พันล้านบาท จ่ายดอกเบี้ยปีละประมาณ 2 พันล้านบาท ที่เหลือเป็นการชำระหนี้
"หากสามารถลดหนี้ลงเรื่อยๆ ทำให้ Earning โตจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงด้วย" นายธีรพงศ์ กล่าว
ส่วนการซื้อกิจการในยุโรปเพิ่มคงจะยังไม่มีการซื้อกิจการจนกว่า D/E จะเหลือ 1:1 ตามแผน แต่หากเป็นการซื้อกิจการเล็กๆ เช่น แพ็คฟูดส์ อาจจะมีโอกาสเห็น หากดีลไม่ถึง 100 ล้านเหรียญฯ
ขณะที่ แผนการเติบโตของบริษัทในอนาคต คาดว่า ในปี 2558 จะมียอดขายที่ 5 พันล้านเหรียญฯ และเพิ่มเป็น 8 พันล้านเหรียญฯ ในปี 2563
"เชื่อว่าตามแผนธุรกิจที่ทำมา จะสามารถผลักดันยอดขายได้ตามแผน" นายธีรพงศ์ กล่าว
นายธีรพงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเศรษฐกิจในยุโรปมองว่ายังน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับวิกฤติหนี้ แต่ในส่วนของธุรกิจอาหารของบริษัทไม่มีผลกระทบ โดยในปี 54 ที่ยุโรปมีปัญหาการเงินมาตลอด แต่ธุรกิจอาหารยังดีอยู่
ส่วนแนวโน้มในสหรัฐฯ ก็ดีขึ้น โดยเฉพาะจะมีการเลือกตั้งปลายปีนี้ น่าจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
นอกจากนี้ในปีนี้ ทางบริทมีแผนจะจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลกับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปีนี้เน้นให้ความสำคัญกับการโรดโชว์ในประเทศ เนื่องจากปัจจุบันมีนักลงทุนต่างประเทศถือหุ้นในสัดส่วน 35-38% จากเพดานที่ 45% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนในประเทศยังน้อย