ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (22 ก.พ.) เนื่องจากความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอาจจะถดถอยลง หลังจากมาร์กิต อิโคโนมิกส์ รายงานว่า ภาคการผลิตและภาคบริการยูโรโซนหดตัวเหนือความคาดหมายในเดือนก.พ. และข่าวฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้ฉุดดัชนีดาวโจนส์อ่อนตัวลง แม้ดัชนีทะยานขึ้นเหนือแนวต้านที่ระดับ 13,000 จุดเมื่อวันอังคารก็ตาม
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 27.02 จุด หรือ 0.21% ปิดที่ 12,938.67 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 4.55 จุด หรือ 0.33% ปิดที่ 1,357.66 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 15.40 จุด หรือ 0.52% ปิดที่ 2,933.17 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในช่วงเช้านั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กอ่อนแรงลงหลังจาก HSBC เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นเดือนก.พ.ของจีน อยู่ที่ระดับ 49.7 จุด เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนม.ค.ที่ 48.8 จุด แต่ตัวเลขดังกล่าวยังว่าระดับ 50 จุดและบ่งชี้ถึงการหดตัวในภาคการผลิต ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้เกิดความวิตกกังวลเศรษฐกิจจีนอาจจะเข้าสู่ระยะชะลอตัว
ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อ ฟิทช์ เรตติงส์ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซจาก "CCC" สู่ระดับ "C" โดยระบุว่ามีโอกาสสูงมากที่กรีซจะผิดนัดชำระหนี้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ แม้กรีซประกาศรายละเอียดของข้อตกลงสว็อปหนี้กรีซกับเจ้าหนี้เอกชนก็ตาม
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบหลังจากมาร์กิต อิโคโนมิกส์ รายงานว่า ดัชนี PMI ทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการของยูโรโซนหดตัวลงสู่ระดับ 49.7 จุดในเดือนก.พ. จาก 50.4 จุดในเดือนม.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 50.5 จุด และตัวเลขต่ำกว่า 50 จุดถือว่าอยู่ในภาวะหดตัว
ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนและยูโรโซน รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับกรีซ ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้น แม้ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทะยานขึ้นเหนือแนวต้านที่ 13,000 จุดเมื่อวันอังคารก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 4.3% ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และหลังจากสมาคมการจำนองแห่งชาติของรัฐบาลกลางสหรัฐ (แฟนนี เม) คาดการณ์ว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี
หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐ วอล-มาร์ท สโตเรส ร่วงลง 2.5% หลังาบริษัทเปิดเผยรายได้สุทธิในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว สิ้นสุดวันที่ 31 ม.ค. ร่วงลงสู่ระดับ 5.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น จากระดับ 6.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้านั้น
หุ้นฮิวเล็ตต์-แพคการ์ด ดิ่งลง 1.4% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 ขณะที่หุ้นเดลล์ร่วงลง 65 หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 4 ร่วงลง 18% ส่วนหุ้นโทลล์ บราเธอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้านระดับหรู ดิ่งลง 5% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 4 ลดลงเช่นกัน
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนวันศุกร์ รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนก.พ. และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค.