“โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 55 ได้นั้นไม่ได้มีเพียงแต่โครงการโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ขนาดกำลังการผลิต 660 เมกะวัตต์และโครงการโกลว์ เอสพีพี 12 (ชื่อเดิมคือ บริษัท ไทย เนชั่นแนล พาวเวอร์ 2 จำกัด) ขนาดกำลังการผลิต 110 เมกะวัตต์เท่านั้น แต่รวมไปถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์อีกด้วย ซึ่งได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการขนาด 1.5 เมกะวัตต์ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 54 โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 55 ซึ่งโครงการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตให้แก่โรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทอีกกว่าร้อยละ 20" นายเฮสคาเน่น กล่าว
สำหรับผลประกอบการปี 54 ของกลุ่ม GLOW มีรายได้รวม 40,955 ล้านบาท กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษีเงินได้และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 9,954 ล้านบาท กำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ (NNP) จำนวน 4,104 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ จำนวน 3,949 ล้านบาท โดย EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 เมื่อเทียบกับปี 53 ในขณะที่ NNP ลดลงร้อยละ 8.6
ในปี 54 ยอดจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมเมื่อเทียบกับปี 53 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 และ 15.8 ตามลำดับ แต่ในทางตรงข้ามต้นทุนราคาค่าก๊าซเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10.0 ในขณะที่อัตราค่าไฟเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.59 ส่งผลให้อัตรากำไรของธุรกิจพลังงานความร้อนร่วมและไอน้ำ (Cogeneration Business) ปรับตัวลดลงแม้ว่าปริมาณจำหน่ายจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นก็ตาม
ด้านนายสุทธิวงศ์ คงสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงิน GLOW กล่าวว่า ปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้น แม้ว่าอัตรากำไรจะลดลง อย่างไรก็ตาม ภาษีเงินได้ของธุรกิจ IPP ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น 430 ล้านบาท เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ NNP ของกลุ่มบริษัทลดลง จากการสิ้นสุดระยะเวลาการได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีเงินได้นิติบุคคลในปี 54