ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 1.44 จุดหลัง G20 เลื่อนลงมติเพิ่มทุน IMF

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 28, 2012 06:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (27 ก.พ.) หลังจากที่ประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางกลุ่ม G20 ได้เลื่อนการตัดสินใจที่จะเพิ่มทุนทรัพย์ให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของราคาน้ำมันดิบและข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ช่วยพยุงดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ให้ปิดในแดนบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 1.44 จุด หรือ 0.01% แตะที่ 12,981.51 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 1.85 จุด หรือ 0.14% แตะที่ 1,367.59 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวขึ้น 2.41 จุด หรือ 0.08% แตะที่ 2,966.16 จุด

ในช่วงเช้านั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรป หลังจากที่ประชุม G20 ได้เลื่อนการตัดสินใจเรื่องการเพิ่มทุนทรัพย์ให้กับ IMF ออกไปเป็นเดือนเม.ย. เพราะต้องการรอดูผลการประชุมผู้นำ 17 ชาติสมาชิกยูโรโซนซึ่งจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์นี้ นอกจากนี้ กลุ่ม G20 ยังได้แจ้งต่อยุโรปว่า ยุโรปจำเป็นต้องจัดสรรเงินมากยิ่งขึ้นเพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขวิกฤติหนี้สินของยุโรปก่อน ถ้าหากยุโรปต้องการจะได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากประเทศอื่นๆ โดยถ้อยแถลงนี้ถือเป็นการสร้างแรงกดดันต่อเยอรมนีให้ล้มเลิกการคัดค้านการขยายขนาดกองทุนคุ้มครองยุโรป

ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อนางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ ได้กล่าวเตือนในช่วงปิดการประชุม G20 ว่า แม้มีสัญญาณบ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกมีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ความเสี่ยงก็ยังคงมีอยู่ และเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ใน "เขตอันตราย"

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนคลายความวิตกกังวลหลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง ซึ่งแม้ว่าการร่วงลงของราคาน้ำมันจะฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานอ่อนแรงลง แต่ก็ทำให้นักลงทุนผ่อนคลายจากความวิตกกังวลที่ว่าราคาน้ำมันที่แพงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเปิดเผยว่า ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ประจำเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 2% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1% ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ

หุ้นคอปเปอร์ ไทร์ แอนด์ รับเบอร์ พุ่งขึ้น 13.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้สุทธิพุ่งขึ้นกว่า 2 เท่าในไตรมาส 4

ขณะที่หุ้นไมครอน เทคโนโลยี อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 7.7% หลังจากเอลพิดา เมมโมรี อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งของญี่ปุ่น ได้ยื่นขอการพิทักษ์ทรัพย์สินจากการล้มละลาย อันเนื่องมาจากหนี้สินที่มีมูลค่าสูงถึง 4.81 แสนล้านเยนในปี 2554

หุ้นเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งของมหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์ ดีดขึ้น 0.3% ส่วนหุ้นสปรินท์ แอนด์ เน็กซ์เทล ดีดขึ้น 3.2% หลังจากคณะกรรมการบริหารของบริษัทปฏิเสธข้อเสนอซื้อหุ้นจากเมโทรพีซีเอส คอมมูนิเคชั่นส์ ซึ่งข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นเมโทรพีซีเอส ดิ่งลง 1.5%

หุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 2% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดีดขึ้น 2%

ส่วนหุ้นเวิล์ดพูล คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน พุ่งขึ้น 6.75 หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการปี 2555

หุ้นวอลท์-ดีสนีย์ ดีดขึ้น 0.8% หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ “conviction buy" จากระดับ “neutral"

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนม.ค., สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์จะเปิดเผยราคาบ้านเดือนธ.ค. และคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนก.พ.

วันพุธ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2554 และธนาคารกลางสหรัฐเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจหรือ Beige Book จากนั้นในวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีกิจกรรมการผลิตทั่วประเทศเดือนก.พ.

ส่วนวันศุกร์ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์คเดือนก.พ.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ