นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาด บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในปี 55 จะสูงกว่าปี 54 ที่มีกำไร 460 ล้านบาท แม้ปีนี้บริษัทจะต้องจ่ายค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็น 300 บาท แต่จะถูกชดเชยจากการปรับลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% ขณะที่รายได้คาดว่าจะเติบโตอย่างน้อย 10% จากปี 54 ที่มีรายได้ 3.69 พันล้านบาท เนื่องจากสายการผลิตใหม่ (NT 10) ซึ่งผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ดจะเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ได้ช่วงกลางปีนี้ และคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป โดยสายการผลิตดังกล่าวมีกำลังการผลิต 7.2 หมื่นตันต่อปี ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมของบริษัทในสิ้นปีเพิ่มเป็น 7.52 หมื่นตันต่อปี
"กำไรปีนี้น่าจะดีกว่าปีทีแล้ว แม้ค่าแรงจะเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาท แต่โรงงานเราอยู่ที่สระบุรีก็คงปรับขึ้นไปถึง นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องภาษีที่ลดลงเข้ามาช่วยชดเชย...ที่จริงช่วงไตรมาส 1 เป็นช่วงหน้าขาย แต่ตอนนี้ตลาดซ่อมแซมยังไม่ได้กลับมาเต็มที่ น่าจะมาอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 ดีมานด์น่าจะมากขึ้น ส่วนไตรมาส 1 ยังเชื่อมั่นว่าอย่างน้อยยอดขายน่าจะเท่าเดิมหรือดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ไม่น่าจะลดลง"นายสาธิต กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 56 กำลังการผลิตรวมของบริษัทจะเพิ่มเป็น 8.92 แสนตันต่อปี เนื่องจากจะมีกำลังการผลิตจากโรงงานผลิตอิฐมวลเบาเข้ามาอีก 1.4 แสนตันต่อปี โดยน่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางปี 56 เป็นต้นไป
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้บริษัทเตรียมขยายช่องทางการขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขายผ่านโมเดิร์นเทรด ทั้งนี้คาดว่ายอดขายผ่านโมเดิร์นเทรดในปีนี้จะเพิ่มเป็น 200 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 90 ล้านบาท รวมทั้งการขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคาดว่าสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศในปีนี้จะเพิ่มเป็น 10% จากปีก่อนที่ 7-8% และในปีนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ 600-800 ล้านบาท โดยนำไปใช้ซื้อเครื่องจักรใหม่ 500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือนำไปใช้บำรุงรักษาเครื่องจักรเก่า
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทคงไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาขายสินค้ามากนัก แม้ต้นทุนวัตถุดิบจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอาทิเช่น ปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นต้นทุนถึง 14% ของรายได้ เนื่องจากสินค้าของบริษัทเป็นสินค้าที่ถูกควบคุมราคาจากกรมการค้าภายใน แต่บริษัทจะใช้วิธีการปรับลดค่าส่วนลดทางการค้าจากคู่ค้าลง และหันมาผลิตสินค้าที่มีความต้องการและมาร์จิ้นสูงมากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต่ำในปีนี้ยังคงใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับ 30-32% ทั้งนี้บริษัทจะมีการปรับขึ้นราคาค่าขนส่งตามราคาน้ำมัน แต่ลูกค้าก็สามารถที่จะนำรถมารับสินค้าเองได้เช่นกัน