ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์(LHBANK) ตั้งเป้าปี 55 ขยายสินเชื่อเติบโตไม่น้อยกว่า 25% มุ่งเน้นการขยายการเติบโตทางธุรกิจในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่องจากปี 54 โดยให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพด้านต่าง ๆ เพื่อให้แข่งขันกับธนาคารพาณิชย์อื่นได้ โดยการขยายเงินฝากจะเน้นการขยายฐานธุรกิจรายใหญ่และเอสเอ็มอีผ่านสาขาภูมิภาค โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายขยายสาขาใหม่อีก 17 แห่งเป็น 61 แห่งให้สอดคล้องกับเป้าหมายขยายเงินฝากเติบโต 30%
นอกจากนั้นยังมีแผนเปิดให้บริการอินเตอร์เนตแบงก์กิ้งเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงธนาคารได้ดีขึ้นคาดว่าจะเริ่มได้ปลายปี 55
นางศศิธร พงศธร กรรมการผู้จัดการ LHBANK กล่าวว่า ในปี 55 คาดว่ากำไรสุทธิจะดีกว่าปี 54 ที่มีกำไรสุทธิ 495 ล้านบาท ตามการเติบโตของสินเชื่อ และจะรักษาระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ให้ต่ำกว่า 2% จากสิ้นปี 54 มี Gross NPL ที่ 1.6% และ รักษาระดับส่วนต่างดอกเบี้ยรับสุทธิ (NIM) ไว้ไม่น้อยกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ 2.5% โดยจะเน้นให้ลูกค้ามีการเบิกจ่ายสินเชื่อให้เร็วขึ้น จากเดิมที่การเบิกจ่ายสินเชื่อจะเป็นในลักษณะ back load
สำหรับพันธมิตรทางธุรกิจ คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ โดยขณะนี้มีการเจรจากับธนาคารต่างประเทศในแถบอาเซียน 1 ราย ซึ่งจะเข้ามาร่วมทุนด้วยการถือหุ้นไม่เกิน 25% การเข้ามาลงทุนของพันธมิตรเชื่อว่าไม่ได้เน้นการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในธนาคารเนื่องจากเป็นธนาคารขนาดเล็ก แต่น่าจะต้องการขยายโอกาสการทำธุรกิจมากกว่า
"การหาพันธมิตรเราต้องมีพันธมิตรที่ถูกต้อง ตอนนี้เราจะมีการทำธุรกรรมต่างประเทศที่เป็น LC/TR จำเป็นต้องมีการยอมรับในระดับต่างประเทศ ซึ่งแบงก์ไทย 15 แห่ง ตอนนี้มีเพียง 3-4 รายที่ทำได้ การมีพันธมิตรนี้ได้ คือต้องทำให้ Licens retail แบงก์หลุดไปก่อน เพราะพันธมิตรคงไม่อยากให้แบงก์มีการทำธุรกรรมที่ไม่เท่าเทียมกัน...เราเป็นแบงก์เล็กพันธมิตรที่เข้ามาคงไม่เน้นรีเทิร์น แต่คงเน้นดาต้า โอกาสในการทำธุรกิจ" นางศศิธร กล่าว
นางศศิธร กล่าวถึงการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อนำส่งเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก 0.1% และชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 0.46% ว่า อาจทำให้ต้นทุนการเงินของธนาคารสูงขึ้นบ้าง แต่ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะที่ผ่านมาธนาคารขนาดเล็กจะมีต้นทุนการเงินที่ต้องแข่งขันกับธนาคารขนาดใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นคงต้องมีการปรับกลยุทธให้สอดคล้องกับเงื่อนไขเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บค่าธรรมเนียม 0.46% จากฐานเงินฝากและตั๋วเงินระยะสั้น(บี/อี) คงไม่ทำให้ธนาคารต้องยกเลิกการระดมเงินโดยการออกบี/อี เนื่องจากต้นทุนไม่ได้แตกต่างกันมากเมื่อทียบการคุ้มครองเงินฝาก และลูกค้าส่วนใหญ่ของธนาคารอยู่ในกรอบที่มได้รับการคุ้มครองเงินฝากอยู่แล้ว เพราะมีบัญชีเฉลี่ยสูงกว่า 1 ล้านบาท โดยปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนบี/อี 62% ของฐานเงินฝากรวมบี/อี