บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(MPIC) คาดว่ารายได้และกำไรในปี 55 จะเติบโตราว 10-15% จากปี 54 ที่มีรายได้ราว 1,056 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะลงทุนสร้างภาพยนตร์ 6 เรื่องในปีนี้ ขณะที่ได้ใช้เงินลงทุนราว 210 ล้านบาทซื้อภาพยนตร์จากต่างประเทศ 144 เรื่อง เพื่อนำมาลงโรงฉายและทำเป็นแผ่นวีซีดี-ดีวีดี
นอกจากนั้นในปีนี้บริษัทยังได้เพิ่มช่องทางการขายด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรนำภาพยนตร์ไทยไปจำหน่ายในต่างประเทศมากขึ้น โดยตั้งเป้าในปีนี้ 8 เรื่อง
นายเผด็จ หงษ์ฟ้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MPIC คาดว่า ในปีนี้จะมีกำไรสุทธิราว 80 ล้านบาทหรือเติบโตราว 15% จากปีก่อน โดยบริษัทจะมีภาพยนตร์สร้างเองภายใต้ บริษัท เอ็ม 39 จำนวน 6 เรื่อง งบสร้างอยู่ที่ราว 25-30 ล้านบาท และมีงบโฆษณาอีก 10-15 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีมีภาพยนตร์ที่สร้างเองเข้าฉายแล้ว 2 เรื่อง ได้แก่ "ส.ค.ส.สวีทตี้" และ "วาเลนไทน์ สวีทตี้" ซึ่งทำรายได้เฉพาะในกทม.รวม 150 ล้านบาท และในไตรมาส 2/55 จะมีเรื่อง "ไอ มิส ยู"เข้าฉาย
บริษัทยังใช้เงินซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศจำนวน 144 เรื่อง ซึ่งจะนำเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 40 เรื่อง เช่น "ดิ ไอรอนเลดี้","เดอะ เลดี้ อองซานซูจี ผู้หญิงท้าอำนาจ " เป็นต้น และทำเป็นแผ่นวีซีดีและดีวีดี 104 เรื่อง พร้อมกันนั้นก็จะซื้อภาพยนตร์จากผู้สร้างอิสระในประเทศไทย อย่างเช่น พระนครฟิล์ม เป็นต้น เพื่อนำมาจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งตั้งเป้า 8 เรื่อง โดยที่ผ่านมาได้ขายไปแล้ว 3-4 เรื่อง เข่น "ไม่ได้ขอให้มารัก" "เลิฟซัมเมอร์" "รัก...เอาอยู่" เป็นต้น และ 29 มี.ค.นี้จะมีเข้าฉายเรื่อง "รัก 555 อย่าทำก๋อย"
"ปีนี้จะมีช่องทางใหม่ในการหารายได้ โดยจะไปซื้อหนังจากผู้สร้างอิสระมาจัดจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งการซื้อหนังจากผู้สร้างอิสระมาร์จิ้นจะเยอะกว่าหนังทำเอง แต่หนังทำเองจะดึงดูดผู้ชมดีกว่า แต่ไม่ได้ได้กำไรเยอะ"นายเผด็จ กล่าว
นายเผด็จ ยืนยันว่าทาง บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR) ไม่มีแผนขายหุ้นจากที่ถืออยู่ 66% เนื่องจาก MAJOR มีส่วนแบ่งตลาด(มาร์เก็ตแชร์)โรงภาพยนตร์มากกว่า 80% ขณะที่ MPIC ในฐานะที่ทำคอนเทนท์สามารถเสริมจุดแข็งของ MAJOR ได้
และด้วยจุดแข็งด้านคอนเทนท์ บริษัทจึงสนใจจะทำดิจิตอลทีวี แต่คงต้อรอดูหลักเกณฑ์และแผนแม่บทคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.)ก่อน โดยขณะนี้บริษัทรายการเคเบิลทีวีกว่า 200 ช่อง และมีคอนเท้นท์มากกว่า 1,000 เรื่อง ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทที่จะต้องจริงจังในการนำคอนเทนท์ไปใช้สร้างรายได้ให้มากขึ้น