ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 37.69 จุด ขณะตลาดจับตาประชุมเฟด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 13, 2012 06:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 มี.ค.) ทำสถิติปิดบวกต่ดต่อกัน 4 วันทำการ หลังจากที่กรีซมีความคืบหน้าในเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน โดยดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ลดแรงบวกลงในระหว่างวัน ในขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดอ่อนแรงลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจีนขาดดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี เนื่องจากยอดการนำเข้าขยายตัวรวดเร็วกว่าการส่งออก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 37.69 จุด หรือ 0.29% ปิดที่ 12,959.71 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 0.22 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 1,371.09 จุด ดัชนี Nasdaq ขยับลง 4.68 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 2,983.66 จุด

ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งเนื่องจากนักลงทุนขานรับข่าวที่ว่ากระทรวงการคลังของกรีซเปิดเผยว่า กรีซได้เสร็จสิ้นการแลกเปลี่ยนพันธบัตรมูลค่า 1.772 แสนล้านยูโร (2.325 แสนล้านดอลลาร์) เมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่รัฐบาลกรีซได้ทำร่วมกับเจ้าหนี้ภาคเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาระหนี้จำนวนมหาศาล ซึ่งจะช่วยให้กรีซรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงไปทั่วภูมิภาคและทั่วโลกได้

อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากสำนักงานศุลกากรจีนเปิดเผยว่า จีนมียอดขาดดุลการค้า 3.148 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. ซึ่งนับเป็นการขาดดุลครั้งแรกในรอบ 1 ปี เนื่องจากการนำเข้าขยายตัวเร็วกว่าการส่งออก โดยยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 18.4% จากปีก่อน แตะที่ 1.1447 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่าจะพุ่งขึ้น 31% ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 39.6% แตะที่ 1.4596 แสนล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ตลาดยังขาดข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ๆเข้ามากระตุ้น จึงทำให้นักลงทุนจับตาดูการประชุมผู้นำยูโรโซนซึ่งจะตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือกรีซรอบสอง และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันอังคารนี้ เพื่อดูว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) จะส่งสัญญาณใดๆในการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติมหรือไม่

ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคาร KBW Bank Index ปรับตัวลง 0.7% โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 1.2% หุ้นเรเจียนส์ ไฟแนนเชียล คอร์ป ดิ่งลง 2.9%

หุ้นออราเคิล คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟท์แวร์ ร่วงลง 1.4% หลังจากนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์เจฟเฟอรีส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นออราเคิล และยังได้ปรับลดการประมาณการราคาหุ้นดังกล่าวลงมาอยู่ที่ระดับ 32 ดอลลาร์ จากเดิม 32 ดอลลาร์ รวมทั้งปรับลดคาดการณ์ผลกำไรในปี 2556 ของออราเคิลด้วย

อย่าไงรก็ตาม หุ้นกลุ่มที่ไม่ค่อยมีการพึ่งพากิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นวอล-มาร์ท สโตเรส อิงค์ พุ่งขึ้น 1% หุ้นคอนสเตลเลชัน เอนเนอร์จี กรุ๊ป พุ่งขึ้น 3% ขณะที่หุ้นแอปเปิล อิงค์ พุ่งขึ้น 1.3%

หุ้นฮาร์เลย์-เดวิดสัน ทะยานขึ้น 2.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนก.พ. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนม.ค. วันพุธ กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยข้อมูลดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 4/2554 และกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.พ. วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.พ. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและปริมาณการซื้อพันธบัตรของต่างชาติเดือนม.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.พ. และรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนมี.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ