PRANDA ตั้งเป้าปี 55 รายได้-กำไรการดำเนินงานโต 5%, เน้นรุกตลาดเอเชีย

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 14, 2012 11:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายดุษิต จงสุทธนามณี กรรมการการเงิน บมจ.แพรนด้า จิวเวลรี่(PRANDA)เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์"ว่า ในปี 55 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 5% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4,122 ล้านบาท และคาดว่ากำไรจากการดำเนินงาน(ไม่รวมรายได้พิเศษ)จะเติบโต 5% จากปีก่อนที่มีกำไรจากการดำเนินงาน 408 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในปีนี้มองว่าตลาดส่งออกในยุโรปและสหรัฐยังคงมีความเสี่ยงทำให้คำสั่งซื้อ(ออเดอร์)ลดลง ดังนั้น บริษัทจึงไม่ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายจาก 2 ตลาดดังกล่าว เพื่อไม่ให้มีภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านสต็อคสินค้าและกำลังคน แต่จะพยายามรักษายอดขายไม่ให้ลดลง ซึ่งตลาดยุโรปมีสัดส่วนส่งออกคิดเป็น 35% และตลาดสหรัฐ 30%

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะหันมาทำตลาดในสินค้าแบรนด์พรีม่าโกลด์มากขึ้นในตลาดเอเซีย ทั้งตลาดในประเทศ ตลาดอินโดนีเซีย และอินเดีย รวมถึงจีน โดยปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนขยายตลาด 150 ล้านบาท เพื่อเปิดร้านค้าปลีกในอินโดนีเซียที่ใช้งบ 50 ล้านบาท จัดขายแฟรนไชส์และสต็อคสินค้าในอินเดียใช้งบ 50 ล้านบาท และเปิดร้านค้าปลีกในประเทศจีนใช้งบอีก 50 ล้านบาท

และในปีนี้บริษัทยังจัดงบลงทุนอีก 250 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ หลังจากเลื่อนมาจากปีก่อน โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือน เม.ย.55 คาดว่าแล้วเสร็จในปี 56 ใช้งบก่อสร้างปีนี้ 200 ล้านบาท ส่วนอาคารสำนักงานเดิมจะปรับปรุงเป็นโรงงานผลิตสินค้าเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 10-20% จากกำลังการผลิตรวมในปัจจุบันที่ 8 ล้านชิ้น/ปี

"จากนี้ไปบริษัทมุ่งที่จะทำสินค้าเฮ้าส์แบรนด์มากขึ้น เพราะมีมาร์จิ้นสูงที่ 40-45% ขณะที่สินค้าแบรนด์ลูกค้าจะมีมาร์จิ้นที่ 30% โดยตั้งเป้าภายใน 3-4 ปี หรือภายในปี 58-59 จะมีสัดส่วนสินค้าเฮ้าส์แบรนด์เป็น 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 30%" นายดุษิต กล่าว

นายดุษิต กล่าวอีกว่า ความเสี่ยงทางธุรกิจในปีนี้ มองว่าน่าจะเป็นตลาดยุโรปที่ยังมีปัญหา ค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่บริษัทได้มีการป้องกันความเสี่ยงไว้หมดแล้ว ส่วนราคาวัตถุดิบแม้จะมีราคาสูงขึ้น แต่ไม่ควรผันผวนเพราะจะกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเพราะทำให้กำหนดราคาขายได้ยาก

ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน ไม่ได้มีผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัท เนื่องจากค่าแรงคิดเป็น 10% ของต้นทุนรวม และบริษัทสามารถผลักภาระต้นทุนดังกล่าวให้ลูกค้าได้ เพราะลูกค้าจะเน้นในคุณภาพสินค้ามากกว่า ส่วนการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล อาจทำให้บริษัทได้รับประโยชน์ไม่มาก เพราะปัจจุบันบริษัทได้รับการส่งเสริมการลงทุนอยู่แล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ