บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 6,500 ล้านบาทของ บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF) ที่ระดับ “AA-" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “AA-" ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Stable" หรือ “คงที่" ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้และลงทุนตามแผน
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตลอดจนการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย ความสำเร็จของกลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปเน้นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคที่มีตราสัญลักษณ์ของบริษัท การขยายธุรกิจในต่างประเทศ และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทที่ค่อนข้างต่ำ รวมถึงความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศด้วย
ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจเกษตรอาหารที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าความได้เปรียบจากการเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสินค้าและตลาดที่หลากหลายน่าจะช่วยเพิ่มความสม่ำเสมอให้แก่ผลกำไรของบริษัทมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การที่บริษัทให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคน่าจะช่วยลดความผันผวนจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัทลงได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า CPF เป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารรายใหญ่ที่สุดในประเทศ โดย ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2554 กลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ถือหุ้นในบริษัท 42.15% ธุรกิจของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือกลุ่มสัตว์บกและกลุ่มสัตว์น้ำ โดยแต่ละกลุ่มประกอบด้วยธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจฟาร์ม และธุรกิจอาหารพร้อมบริโภค การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรส่งผลให้สินค้าของบริษัทได้มาตรฐานสากลทั้งในด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับซึ่งสามารถส่งออกไปยังประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญซึ่งได้แก่ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป เอเชีย และประเทศสหรัฐอเมริกา
ในปี 2554 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจฟาร์มคิดเป็น 43% ของยอดขายรวม รองลงมาคือธุรกิจอาหารสัตว์ 38% และธุรกิจอาหารพร้อมบริโภค 19% เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเพื่อสร้างเสถียรภาพของกระแสเงินสด บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคที่มีตราสัญลักษณ์ของบริษัทและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารพร้อมบริโภคให้เป็น 20% ของยอดขายรวมภายในปี 2558 พร้อมทั้งลดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจฟาร์มซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์
นอกเหนือจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายแล้ว บริษัทยังขยายกิจการในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องอีกหลายแห่ง โดยมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกิจการในต่างประเทศเป็น 63% ของยอดขายรวมภายในปี 2558 จากเดิม 25% ในปี 2554 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2555 บริษัทและบริษัทในเครือจึงได้ซื้อหุ้นในสัดส่วน 74.18% ของ C.P. Pokphand Co., Ltd. (CPP) ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ชั้นนำในประเทศจีนและเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจสัตว์บกและสัตว์น้ำที่ครบวงจรในประเทศเวียดนามด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 2,174 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังการซื้อหุ้นดังกล่าว สัดส่วนรายได้จากกิจการในต่างประเทศของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50% หากพิจารณาตามประเภทของผลิตภัณฑ์แล้ว รายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 55% ของยอดขายรวม รองลงมาเป็นธุรกิจฟาร์ม และธุรกิจอาหารพร้อมบริโภค
ผลการดำเนินงานในปี 2554 ของบริษัทนับว่าแข็งแกร่ง โดยยอดขายอยู่ที่ระดับ 206,099 ล้านบาท เติบโตขึ้น 9.0% จากปี 2553 แม้ว่าอุทกภัยครั้งรุนแรงในประเทศไทยจะส่งผลให้ราคาเนื้อสัตว์ปรับตัวลดลงในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 ก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทถือได้ว่ายังอยู่ในระดับสูงที่ 16.3% ในปี 2554 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เท่ากับ 24,450 ล้านบาท เติบโต 17.3% จากปีก่อน และกำไรสุทธิไม่รวมกำไรจากการขายเงินลงทุนและอัตราแลกเปลี่ยนนั้นอยู่ในระดับที่น่าพอใจที่ 14,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.2% จากปี 2553 อันเนื่องมาจากผลของราคาเฉลี่ยของเนื้อสัตว์ที่อยู่ในระดับสูงและการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพเป็นสำคัญ
ณ เดือนธันวาคม 2554 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับ 51.1% เพิ่มจาก 43.4% ในปี 2553 เนื่องจากการกู้ยืมล่วงหน้าสำหรับการซื้อหุ้น CPP อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่บริษัทรับรู้กำไรจากผลการดำเนินงานของ CPP อย่างสมบูรณ์แล้ว