+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาพื้นฐาน(บาท) บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ซื้อ 18.00 บล.ธนชาต ซื้อ 17.00 บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ซื้อเก็งกำไร 15.70 บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(TH) ซื้อ 18.00 บล.ทรีนีตี้ ซื้อ 17.60 บล.บัวหลวง ซื้อ 19.50 บล.ซิกโก้ ซื้อ 18.10
บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)แนะนำ“ซื้อ"บมจ.น้ำตาลขอนแก่นฯ(KSL)ให้ราคาเป้าหมาย 18.00 บาท อิง PER 13.5 เท่า โดยแนวโน้มผลการดำเนินงานในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้าเติบโตโดดเด่น เพราะเป็น high season ของการส่งออกน้ำตาล และปริมาณอ้อยเข้าหีบปีนี้มีแนวโน้มสูงกว่าคาด ขณะที่ผลการดำเนินงานของโรงงานที่ลาวและกัมพูชายังมีแนวโน้มขาดทุนราว 100 ล้านบาทในปีนี้ แต่เราประเมินว่าผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของโรงงานในประเทศไทยจะช่วยหักล้างผลการดำเนินงานที่อ่อนแอในประเทศลาวและกัมพูชาได้ ทั้งนี้ ปริมาณอ้อยเข้าหีบมากกว่าคาดล่าสุด (20 มี.ค. 55) ปริมาณอ้อยเข้าหีบของ KSL รวมทั้ง 4 โรงงานเท่ากับ 6.82 ล้านตันอ้อย คิดเป็น 97% ของเป้าหมายเดิมที่ 7.0 ล้านตันอ้อย ขณะที่ยังมีเวลาในการหีบอ้อยฤดูกาลนี้อีกราว 3-4 สัปดาห์ ทำให้คาดว่าปริมาณอ้อยเข้าหีบฤดูกาลนี้จะเพิ่มขึ้นจากสมมติฐานเดิมเป็น 7.5 ล้านตันอ้อย หรือเพิ่มขึ้น 21.5% yoy ทำให้คาดปริมาณขายน้ำตาลปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 21.7% yoy เป็น 7.5 แสนตัน คาดราคาส่งออกน้ำตาลเฉลี่ยของ KSL ที่ 26 เซนต์/ปอนด์ (สูงกว่าที่อนท.ขายได้ที่ 24.7 เซนต์/ปอนด์) นอกจากนี้ผลการดำเนินงานธุรกิจเอทานอลและโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าโดดเด่นซึ่งคาดว่าปริมาณผลิตเอทานอลในปีนี้เพิ่มขึ้น 172% yoy เป็น 80 ล้านลิตร และต้นทุนกากน้ำตาลที่ลดลงเหลือเพียงประมาณ 2.5 บาท/กก. (ลดลงประมาณ 45% yoy) ขณะที่ราคาขายเอทานอลทรงตัวที่ 20-21 บาท/ลิตร แต่ KSL ปรับเป้ายอดขายเอทานอลปีนี้ลงเป็น 80 ล้านลิตร (เดิม 90 ล้านลิตร) ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้าคาดจะสามารถขายไฟฟ้าได้มากขึ้น 39% yoy เป็น 240 MW-HR ในปีนี้ จากปริมาณกากอ้อยที่เพิ่มขึ้นมากตามปริมาณอ้อยเข้าหีบ และการขยายกำลังการผลิตบ่อพลอยเฟส 2 ด้านบทวิเคราะห์บล.บัวหลวง แนะ"ซื้อ"หุ้น KSL ให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 19.50 บาท จากเดิม 18.00 บาท หลัง ปรับประมาณการกำไรขึ้นจากปริมาณขายและราคาที่ดีเกินคาดและเราคิดว่าการเติบโตของกำไรที่หนุนโดยช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมน้ำตาลที่กำลังจะมาถึงนี้จะหนุนให้ราคาหุ้นปรับขึ้นได้ แม้ว่าราคาน้ำตาลมีแนวโน้มจะอ่อนตัวลง กำไรสุทธิของ KSL จะยังคงเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องมาถึงปี 2555 นี้ มีปัจจัยหนุนจากการขยายกำลังการผลิต โดยปัจจุบัน KSL ซื้อขายอยู่ที่ forward PBV/ROE 0.08 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มผู้ผลิตน้ำตาลซึ่งอยู่ที่ 0.12 เท่า ขณะที่ปริมาณขายและราคาน้ำตาลที่ดีเกินคาดหนุนการปรับประมาณการกำไรแม้ว่าผลผลิตอ้อยในลาวและกัมพูชาจะต่ำกว่าคาดจากความแห้งแล้ง แต่ผลผลิตอ้อยในประเทศไทยก็สูงกว่าที่บริษัทประมาณการไว้ในเบื้องต้น อีกทั้งโครงการในจังหวัดเลยจะเริ่มดำเนินการในปี 2556 (เร็วกว่าแผนที่วางไว้ 1 ปี) "KSL ให้แนวทางราคาขายน้ำตาลสูงกว่าสมมติฐานของเราก่อนหน้านี้ ดังนั้นเราได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2555-2556 ขึ้น 7% และ 9% ตามลำดับ มาอยู่ที่ 2,215 ล้านบาท และ 2,358 ล้านบาท"บทวิเคราะห์ดียีเอสฯ ระบุ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ให้คำแนะนำ"ซื้อ"KSL เช่นกัน และได้มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 55 และ 56 ในอัตรา 3% ทั้งสองปี เพื่อสะท้อนปริมาณการหีบอ้อยที่มากกว่าคาดไว้เดิม ราคาพื้นฐานกำหนดไว้เป็น 18.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF หรือเทียบเท่า P/E ปี 55 ที่ 14 เท่า คาดกำไรปีนี้ทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะไปสูงสุดใน 2Q55 (ปิดงบปี ต.ค.) เราเห็นว่ากำไรจะยังดีต่อเนื่องมายังไตรมาส 2 และ 3 ก่อนที่จะอ่อนลงในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล อนึ่ง ปัจจัยหลักคือได้มีการปรับเพิ่มปริมาณการหีบอ้อยเป็น 7.4 ล้านตันสำหรับปีนี้ หลังจากที่บริษัทได้ทำการหีบอ้อย 6.8 ล้านตันมาตั้งแต่ปลาย พ.ย.54 (เทียบกับ 6.2 ล้านตันเมื่อปีที่แล้ว) บริษัทได้รับผลดีจากการหีบอ้อยได้เพิ่มที่บ่อพลอย ทั้งนี้อากาศที่ดีและราคาของน้ำตาลที่แข็งแกร่งส่งผลให้ปริมาณวัตถุดิบอ้อยออกมามาก จนเกษตรกรได้เปลี่ยนการปลูกจากมันสำปะหลังและข้าวมาเป็นอ้อย ปกติแล้วฤดูกาลหีบอ้อยจะอยู่ในช่วง พ.ย.ข้ามปีมาจนถึงเมษายน