นายณอคุณ สิทธิพงษ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ปตท (PTT) เปิดเผยถึงกรณีการโยกย้าย 4 ผู้บริหาร กลุ่ม ปตท.ได้แก่ นายสุรงค์ ย้ายจาก CEO TOP เป็น CFO PTT, นายอนนต์ สิริแสงทัก CEO PTTEP ไปเป็น CEO บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ,นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล CEO PTTGC ไปเป็น CEO TOP และ โยกนายเทวินทร์ วงศ์วานิช CFO PTT ไปเป็น CEO PTTEP ว่า เป็นไปตามวาระที่คณะฝ่ายจัดการของบริษัท ซึ่งมีประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.(ซีอีโอ) ได้ให้การเห็นชอบ เป็นไปตามกรอบการบริหารที่วางไว้ตั้งแต่สมัยอดีตซีอีโอ ปตท. นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประกาศใช้ คือให้ ผู้บริหารในกลุ่ม ปตท.อยู่ในวาระบริหารงาน 3-4 ปี เพื่อความเหมาะสม
นายณอคุณ กล่าวว่าในส่วนของนายสุรงค์ บูลกุล ดำรงตำแหน่ง CEO TOP ครบ 3 ปี ก็อยู่ในกรอบการบริหารงานเช่นกัน การโยกย้ายไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ควบคุมการกลั่นมูลค่า 1,600 ล้านบาทแต่อย่างใด เพราะกระบวนการที่ นายสุรงค์ ดูแลและได้คัดเลือกบริษัทที่ชนะการประมูลเป็นไปอย่างเหมาะสม และจะมีการเสนอเข้าบอร์ด ไทยออยล์อีกครั้งวันพรุ่งนี้ ซึ่งการคัดเลือกคงไม่สามารถดูเฉพาะวงเงินที่เสนอราคาต่ำเท่านั้น จะต้องพิจารณาถึงข้อเสนอรอบด้านแล้วเหมาะสมกับการนำมาใช้และต้นทุนระยะยาวเปรียบเทียบ แล้วพบว่า บริษัทโยโกกาว่าเสนอได้ถูกกว่า และเมื่อเปรียบเทียบกับโรงกลั่นฯต่างในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่ก็ใช้โยโกกาว่า ขณะที่ ยุโรปส่วนใหญ่ใช้ฮันนี่เวลจากสหรัฐ
“เมื่อเข้าไปดูรายละเอียดข้อเสนอของ สองบริษัท ก็เปรียบเทียบได้ง่ายว่า ควรจะเลือกใคร เพราะแม้ฮันนี่เวลล์เสนอราคาต่ำ แต่ไม่ได้รวมการบริการให้ครอบคลุม ในขณะที่โยโกกาว่าแม้ราคาจะเสนอสูงกว่าแต่ครอบคลุมบริการรอบด้าน จึงทำให้ภาพรวมต้นทุนถูกกว่า ซึ่งปัญหาในไทยออยล์ที่เป็นข่าวก็เกิดจากคนในมีปัญหากันเอง แล้วมาให้ข่าวด้านนอกทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่าทุจริต"นายณอคุณกล่าว