นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน(KK) คาดว่า ดีลควบรวมกิจการกับบล.ภัทร จะเสร็จสิ้นในเดือน ส.ค.55 นี้ หลังจากที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือน เม.ย. และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จาก บล.ภัทร ในไตรมาส 4/55 จากนั้นจะนำหลักทรัพย์บล.ภัทรออกจากตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังมีนโยบายการบริหารไม่เปลี่ยนแปลง โดยยังให้ความสำคัญกับธุรกิจธนาคารเป็นหลัก ขณะที่บล.ภัทร จะดูแลเข้ามาในตลาดทุน ซึ่งเชื่อว่าหลังกระบวนการควบรวมเสร็จสิ้นแล้ว จะตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดที่สูงขึ้น โดยจะมีการออกผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อนำเสนอต่อนักลงทุน และใช้ฐานทุนของ KK สนับสนุน
ในส่วนสินเชื่อธนาคารในปี 55 คาดว่าจะเติบโตได้ดี ได้แก่ สินเชื่อเช่าซื้อที่มีสัดส่วน 70% ของพอร์ต และสินเชื่อเอสเอ็มอีกที่มีสัดส่วน 30% โดยเฉพาะสินเชื่อเอสเอ็มอีกตั้งเป้าเติบโต 15-20%ในปีนี้ เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวส่งผลให้กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีมีความสามารถกู้มากขึ้น รวมทั้ง KK จะมีการเปิดตัวสินเชื่อใหม่ ชื่อ "KK BIZ" เป็นสินเชื่อเฉพาะด้าน แบ่งเป็น 5 ธุรกิจหลัก โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการ แบ่งเป็นสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอพาร์ตเม้นท์ ธุรกิจขนส่ง สินเชื่อหมุนเวียน สินเชื่อธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม ธนาคารต้องการให้ผู้ประกอบการปรับตัว รองรับกับความเสี่ยง และความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และค่าแรงขั้นต่ำที่จะมีผลปรับขึ้นในวันที่ 1 เม.ย. นี้ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ตนเป็นห่วงราคาน้ำมันดีเซลที่เป็นต้นทุนขนส่งชองผู้ประกอบการ แต่หากยังไม่ปรับสูงถึง 40 บาท/ลิตร ก็คงไม่กระทบจิตวิทยาในการลงทุนและต้นทุนของผู้ประกอบการ ที่จะสูงขึ้นจนรับไม่ได้
นอกจากนี้ ในส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้จะมีแนวโน้มฟื้นตัวและเข้าสู่ภาวะปกติ ในช่วงไตรมาส 3 หากรัฐบาลปรับเพิ่มราคาบ้านหลังแรก ตามมาตรการบ้านหลังแรก จะช่วยผู้ประกอบการและผู้บริโภคกลับมา ขณะเดียวกันจะทำให้สินเชื่อบ้านขยายตัวเพิ่มไปด้วย
ในส่วนเงินกู้ซอฟท์โลนของธปท. จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมด้วย และสภาพคล่องในตลาด โดยในส่วนธนาคาร KK ได้เข้าร่วมกับบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ปล่อยกู้สินเชื่อต่ำ อัตราคงที่ 5 ปี ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนรายย่อยและยังเป็นการลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่อัตราดอกเบี้ยผันผวน