นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) เปิดเผยว่า ในปี 55 น่าจะได้เห็นการลงทุนในธุรกิจใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจเทเลคอมและมีเดีย ซึ่งบริษัทสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ทีวีดิจิตอล เพราะหากมีการเปิดประมูลก็พร้อมที่จะเข้าประมูล ซึ่งบริษัทมี Venture Capital อยู่กว่า 200 ล้านบาท และมีเงินเตรียมพร้อมสำหรับลงทุนหากมีโปรเจคขนาดใหญ่ที่น่าสนใจ เพราะบริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีสินทรัพย์จำนวนมาก จึงไม่น่ากังวลหากจะต้องมีการระดมทุนเพิ่มเติม เช่นเดียวกับ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ เอไอเอส ที่เป็นบริษัทลูกก็มีความแข็งแกร่งทางการเงิน
สำหรับการเข้าประมูล 3 จี บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกกะเฮิร์ตซ์ ก็มีความมั่นใจในการเข้าร่วมประมูลของ เอไอเอส หากมีการเปิดให้ประมูล ซึ่งถ้าได้รับเลือกเชื่อว่าจะส่งเสริมรายได้ของบริษัทในเรื่อง Data Service ให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะขณะนี้แม้ 3 จี ยังไม่ประสบความสำเร็จ เอไอเอส พัฒนาคลื่นความถี่ถึง 2.75 จี ก็มีรายได้จากการให้บริการ Data Service สูงขึ้นอย่างมากในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาล(ผลการดำเนินงาน 1 ม.ค. -29 มี.ค. 55) ที่ 1.58 บาท/หุ้น ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากการจ่ายปันผลของ เอไอเอส ที่เป็นบริษัทลูกเป็นเงิน 5,124 ล้านบาท ซึ่งการปันผลที่ 1.58 บา /หุ้น คิดเป็นเงิน 5,066 ล้านบาท ส่วนที่เหลือบริษัทจะสำรองเป็นทุนหมุนเวียน โดยจะปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นวันที่ 11 เม.ย. และจ่ายปันผล 26 เม.ย.55
"แม้เอไอเอสจะสร้างรายได้ให้เราโดยการปันผลต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีแนวคิดที่จะจ่ายปันผลทุกไตรมาส เพราะจำเป็นต้องดูที่ผลประกอบการและรายได้ของบริษัทเป็นหลัก จึงจะพิจารณาจ่ายปันผล แต่ยืนยันว่าจะจ่ายปันผลในอัตราสูงสุดที่บริษัทสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง" นายสมประสงค์ กล่าว
นายสมประสงค์ กล่าวถึงกรณีบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด จะมีการขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทออกมาอีกหรือไม่ จากที่ก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการขายหุ้นบางส่วนออกมาว่า ส่วนตัวประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ ซีด้าร์ฯ จะขายหุ้นออกมาอีก เพื่อเพิ่มฟรีโฟลตในตลาดที่ปัจจุบันมีกว่า 20% แม้จะผ่านเกณฑ์ของตลาดฯ แต่ผู้ถือหุ้นต้องการเห็นการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มมากขึ้น โดยประเมินว่า ช่วงกลางปีอาจได้เห็นอีกครั้ง
ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าอาจจะควบรวมกิจการ หรือ แลกหุ้นกับ บจ.ในตลาดหลักทรัพย์นั้น นายสมประสงค์ ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง และไม่มีแนวคิดดังกล่าว
สำหรับปัญหาการเมืองที่ครุกรุ่นต่อประเด็นความปรองดอง ยังเชื่อมั่นว่าบริษัทจะสามารถผ่านวิกฤติทางการเมืองไปได้ และ ยังยืนอยู่ในหลักการว่า บริษัทไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะที่ผ่านมาเหตุการณ์ 19 ก.ย.49 ถือว่าเลวร้ายมาก บริษัทก็สามารถผ่านมาได้ เชื่อว่า ประชาชนจะเข้าใจมากขึ้นว่าบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง