ฟิทช์ ปรับลดอันดับเครดิต TTA เป็น BBB(tha) จาก BBB+(tha)

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 30, 2012 16:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวหนี้ไม่มีหลักประกันของ บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนซีส์ (TTA) เป็น ‘BBB(tha)’ จาก ‘BBB+(tha)’ และแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

การปรับลดอันดับเครดิต สะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ที่ฟิทช์คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 4.0 เท่าถึง 5.5 เท่า ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากภาวะตลาดที่อ่อนแออย่างต่อเนื่องของธุรกิจเดินเรือประเภทสินค้าแห้งเทกอง (Dry Bulk Shipping) รวมถึงผลกำไรที่ยังจำกัดจากธุรกิจใหม่ๆ ที่บริษัทฯ ได้ลงทุนไป ซึ่งได้แก่ ธุรกิจถ่านหิน และโลจิสติกส์

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพสะท้อนถึงการคาดการณ์ว่า บริษัทฯ น่าจะสามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า แม้ว่าอัตราค่าระวางเรือน่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง แต่แผนการลดต้นทุนที่ประสบความสำเร็จของบริษัทฯ รวมถึงการกระจายตัวของรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ที่มีมากขึ้นน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาระดับผลประกอบการและกระแสเงินสดไว้ได้

ผลประกอบการของธุรกิจเดินเรือประเภทสินค้าแห้งเทกองยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่องในปีงบการเงิน 2554 (สิ้นสุด 30 กันยายน 2554) และไตรมาสแรกของปีงบการเงิน 2555 แม้ว่าธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง (Offshore Service Business) จะเริ่มมีการพลิกฟื้น แต่กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและ ค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวมของบริษัทฯ ในปีงบการเงิน 2554 ยังคงลดลงร้อยละ 18.1 จากปีงบการเงิน 2553 ในขณะที่มีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA margin) ลดลงเหลือร้อยละ 13.4 จากร้อยละ 16.1

ในไตรมาสแรกของปีงบการเงิน 2555 บริษัทฯ ยังได้รับผลกระทบเพิ่มจากการที่ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส(UMS) บริษัทย่อยในธุรกิจโลจิสติกส์ถ่านหินของบริษัทฯ ต้องหยุดการดำเนินงานชั่วคราว เนื่องจากผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2554 ทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและ ค่าตัดจำหน่าย ของบริษัทฯ ลดลงร้อยละ 39 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบการเงินก่อน โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและ ค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ ร้อยละ 10.8

ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย 12 เดือนล่าสุด (Net Debt to last 12 months EBITDA) เพิ่มสูงขึ้นเป็น 4.8 เท่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 จาก 1.8 เท่า ณ สิ้นปีงบการเงิน 2553

ความแข็งแกร่งของอันดับเครดิตได้ถูกลดทอนจากลักษณะความเป็นวัฏจักรของธุรกิจเดินเรือประเภทสินค้าแห้งเทกองที่มีความผันผวนสูง ธุรกิจเดินเรือประเภทสินค้าแห้งเทกองได้ประสบกับภาวะตกต่ำของอุตสาหกรรมตั้งแต่ปลายปี 2551 โดยภาวะตกต่ำดังกล่าวน่าจะยังคงยืดเยื้อต่อไปอีกใน 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากปริมาณเรือบรรทุกสินค้าแห้งเทกองที่มีมากกว่าความต้องการขนส่งสินค้า ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่ออัตราค่าระวางเรือ

อันดับเครดิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจากโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ ที่มีการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่นนอกเหนือจากธุรกิจเดินเรือประเภทสินค้าแห้งเทกองมากขึ้น ซึ่งได้แก่ ธุรกิจถ่านหิน และโลจิสติกส์ที่ครบวงจร นอกจากนี้ การพลิกฟื้นของธุรกิจบริการนอกชายฝั่งก็น่าจะมีส่วนช่วยชดเชยรายได้ที่อาจสูญเสียไปจากธุรกิจเดินเรือประเภทสินค้าแห้งเทกองในช่วงปี 2555-2556

ส่วนธุรกิจใหม่ๆ ที่บริษัทฯ ได้ลงทุนไปน่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์ร่วมกันอย่างทวีคูณกับธุรกิจเดินเรือประเภทสินค้าแห้งเทกอง รวมถึงช่วยลดความผันผวนและความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดได้ ในระยะยาว

อันดับเครดิตของ TTA ยังได้พิจารณาถึงความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์อันยาวนาน และสถานะทางการตลาดที่มั่นคงของบริษัทในธุรกิจเดินเรือประเภทสินค้าแห้งเทกองและธุรกิจบริการนอกชายฝั่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

การเพิ่มขึ้นของกระแสเงินสดจากทั้งธุรกิจหลักและธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สิน ซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและ ค่าตัดจำหน่าย (Net Debt to EBITDA) ลดลงต่ำกว่า 4 เท่าอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท

ในขณะที่ปัจจัยที่อาจส่งผลลบต่ออันดับเครดิต ได้แก่ ภาวะตกต่ำของธุรกิจเดินเรือประเภทสินค้าแห้งเทกองที่รุนแรงและยืดเยื้อเกินกว่าปี 2557 การหยุดชะงักของการพลิกฟื้นของธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง รวมถึงค่าใช้จ่ายลงทุนและการลงทุนในกิจการอื่นๆ ที่สูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและ ค่าตัดจำหน่าย สูงเกินกว่า 6.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง และ/หรือหากสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมาก โดยมีอัตราส่วนกระแสเงินสดต่อดอกเบี้ยจ่ายและค่าเช่า (Fixed Charge Coverage) ลดลงต่ำกว่า 1.5 เท่า หรือหากเจ้าหนี้ธนาคารมีความเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อให้บริษัทซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อสภาพคล่องของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ