นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) คาดว่าในไตรมาส 2/55 ส่วนต่างระหว่างราคาเม็ดพลาสติก HDPE และนาฟทา (สเปรดหรือมาร์จิ้น) จะสูงขึ้นเป็น 400 กว่าเหรียญ/ตัน จากไตรมาส 1/55 อยู่ที่ 300 กว่าเหรียญ/ตัน และจะค่อยๆดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 55 โดยคาดว่าสิ้นปี 55 สเปรดจะปรับขึ้นมาเป็น 500 เหรียญ/ตันได้ หลังจากที่ราคานาฟทาที่เป็นวัตถุดิบสำคัญปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และบริษัทยังไม่สามารถปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ได้ทันที แต่จะค่อยๆปรับขึ้นตามวัตถุดิบ
"ปีนี้ ผมมองได้เลยว่า ปิโตรเคมีไม่ดี เพราะราคาน้ำมันขึ้นเร็วทำให้เราปรับขึ้นราคาไม่ทันกับวัตถุดิบ ไตรมาส 2 ดีกว่าไตรมาสแรก มาร์จิ้นดีขึ้น ไตรมาส 3 ก็จะดีกว่าไตรมาส 2 สิ้นปีนี้ก็คิดว่ามาร์จิ้นจะใกล้ 500 เหรียญ/ตัน" นายกานต์ กล่าว
ขณะที่โรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ และระยองโอเลฟินส์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำปิโตรเคมี ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันเบรนท์ปรับตัวขึ้นมาสูงสุดที่ระดับ 125 เหรียญ/บาร์เรล ทำให้ราคานาฟทาปรับขึ้นไปถึง 1,020-1,030 เหรียญ/ตัน ส่งผลให้ราคาเอทิลีนสูงด้วย และทำให้ผู้ผลิตรายเล็กหายไปจากระบบ คาดว่าปีนี้ทั้งสองโรงงานจะขาดทุนลดลงจากปีก่อน แต่เมื่อธุรกิจปลายน้ำดีขึ้นเพราะได้ปรับราคา ดังนั้นโดยรวมแล้ว ธุรกิจปิโตรเคมีของบริษัทก็ยังมีกำไร
ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงและเงินเดือนพนักงานที่จบปริญญาตรีเริ่มมีผล 1 เม.ย.นี้ นายกานต์กล่าวว่า ปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบบ้าง แม้ว่าบริษัทจะจ่ายค่าแรงสูงกว่าอุตสาหกรรมอยู่แล้ว โดยคาดว่าจะมีต้นทุนเพิ่มอีก 1,300 - 1,500 ล้านบาท แต่ภาษีนิติบุคคลของบริษัทลดลงจะช่วยชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้