ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกัน PTTEP ที่ AAA/Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 3, 2012 13:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. ที่ระดับ "AAA" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะผู้นำในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย ปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่มีมากพอ การสนับสนุนจากภาครัฐในฐานะที่เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยในการถือสัมปทานปิโตรเลียม และฐานะทางการเงินที่ดี นอกจากนี้การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่า ปตท.สผ.จะยังคงดำรงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งต่อไปได้แม้จะต้องเผชิญกับแผนการลงทุนที่สูงในช่วงปี 2555-2559 นอกจากนี้ยังคาดว่าการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังและเข้มงวดน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถลงทุนตามแผนการเติบโตได้โดยไม่ทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลง

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ปตท.สผ.เป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมระดับแนวหน้าของประเทศซึ่งก่อตั้งในปี 2528 ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อถือสิทธิ์สัมปทานปิโตรเลียมในนามของรัฐบาลไทย ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2555 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซแห่งชาติถือหุ้นใน ปตท.สผ. ในสัดส่วน 65.3% ทั้ง ปตท. และ ปตท.สผ. ยังคงมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้พระราชบัญญัติงบประมาณของไทย การเป็นตัวแทนของรัฐที่ทำหน้าที่สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจึงทำให้ ปตท.สผ.ได้รับประโยชน์ในการเข้าร่วมโครงการสัมปทานปิโตรเลียมที่สำคัญๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ เดือนธันวาคม 2554 ปตท.สผ. มีปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้วทั้งหมดซึ่งรวมถึงแหล่งน้ำมันในต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 969 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับปี 2553 โดยสัดส่วนปริมาณสำรองปิโตรเลียมจากโครงการในต่างประเทศคิดเป็น 44% ของปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วในปี 2554 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสัดส่วน 41% ในปี 2553 เมื่อพิจารณาจากปริมาณขายที่ 265,047 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 2554 แล้ว ปริมาณสำรองปิโตรเลียมของบริษัทน่าจะผลิตได้นานประมาณ 9 ปี ซึ่งต่ำกว่าปริมาณสำรองของผู้ประกอบการระดับโลกที่มีค่าเฉลี่ยระหว่าง 10-15 ปีเล็กน้อย ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2555 บริษัทมีโครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรวมทั้งสิ้น 41 โครงการ โดย 20 โครงการอยู่ในขั้นตอนการผลิต และที่เหลืออยู่ในขั้นตอนการสำรวจและพัฒนา

เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการระดับโลกรายอื่นแล้ว ประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ ปตท. สผ. จัดว่าอยู่ในระดับที่แข่งขันได้แม้ว่าต้นทุนในการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้น โดยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการผลิต (Lifting Cost) ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2553 เป็น 4.35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2554 ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในโครงการผลิตแหล่งใหม่เป็นสำคัญ บริษัทมีต้นทุนเฉลี่ยในการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียม (F&D Cost) ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาสิ้นสุดปี 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 19.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบจาก 13.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2553 ซึ่ง F&D Cost ที่เพิ่มขึ้นนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการซื้อโครงการ Kai Kos Dehseh Oil Sands (KKD) ในประเทศแคนาดามูลค่า 2,276 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าโครงการ KKD จะช่วยทำให้ปริมาณสำรองของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว แต่ต้นทุนการผลิตของโครงการจากแหล่งปิโตรเลียมนอกรูปแบบ (Unconventional) จะสูงกว่าโครงการปกติ (Conventional) อีกทั้งบริษัทยังอาจเผชิญกับความเสี่ยงจากการดำเนินงานจนกว่าระดับการผลิตของโครงการ KKD จะเพิ่มขึ้นจนเต็มกำลังการผลิตในปี 2558

ฐานะทางการเงินของ ปตท. สผ. ยังคงแข็งแกร่ง โดยในปี 2554 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 25.6% เป็น 5,440 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น 23.8% ในขณะที่ปริมาณขายค่อนข้างคงที่ที่ 265,047 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 71.9% ในปี 2553 เป็น 70.7% ในปี 2554 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจาก 32.0 เท่าในปี 2553 เป็น 32.9 เท่าในปี 2554 บริษัทยังคงมีสภาพคล่องที่ดี โดย ณ เดือนธันวาคม 2554 บริษัทมีเงินสดในมือ 1,351 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 610 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แผนการใช้จ่ายระยะ 5 ปีของ ปตท. สผ. สำหรับโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันระหว่างปี 2555-2559 คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 19,624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประมาณ 54% ของค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนทั้งหมดจะเป็นการลงทุนในประเทศไทย ส่วนที่เหลือจะเน้นการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (22%) อเมริกาเหนือ (15%) กลุ่มประเทศในทวีปออสเตรเลีย (5%) และ อื่น ๆ (4%) การลงทุนดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณขายของบริษัทให้เพิ่มขึ้น 25% จาก 265,047 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 2554 เป็นประมาณ 330,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในช่วงปี 2556-2559 ทั้งนี้ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทประมาณ 3,000-4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีและเงินสดในมือที่มีอยู่คาดว่าจะเพียงพอสำหรับการลงทุนในโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน

เพื่อดำเนินการตามนโยบายขยายธุรกิจของกลุ่ม ปตท. หลังจากที่ ปตท. สผ. เข้าไปลงทุนในโครงการ KKD ในเดือนพฤศจิกายน 2553 แล้ว บริษัทได้ประกาศแจ้งความประสงค์ในการทำคำเสนอซื้อหุ้น 100% ใน Cove Energy PLC (Cove) มูลค่าประมาณ 1,777 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินทรัพย์หลักของ Cove ได้แก่ การถือครองสัดส่วน 8.5% ในแปลงสัมปทาน Rovuma Offshore Area 1 ในสาธารณรัฐโมซัมบิก ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติ (Resources) ถึงประมาณ 30 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมดังกล่าวยังอยู่ในระยะเริ่มต้นและยังมีความไม่แน่นอนซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ รวมถึงประเด็นด้านภาษีสำหรับการลงทุน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ