นายวิชา พูนวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เมเจอร์ ซีนิเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) เปิดเผยว่า กำไรสุทธิและรายได้ของบริษัทในปี 55 จะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% และ gross profit มากกว่า 35% เนื่องจากบริษัทได้มีการปรับกลยุทธการขายโฆษณา โดยหันมาขายโฆษณาตามภาพยนตร์ที่เข้าฉายจากเดิมที่จะขายโฆษณาตามจำนวนโรงภาพยนตร์ จึงส่งผลให้เอเยนซี่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้โดยตรง ทำให้จำนวนโฆษณาเพิ่มขึ้น ขณะที่มาร์จิ้นจากการขายโฆษณามีสูงถึง 80% ทำให้สนับสนุนผลกำไรปรับเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ จากการประเมินกำลังซื้อผู้บริโภคยังเติบโตได้ดี จากจำนวนผู้ชมภาพยนตร์ที่มีเพิ่มขึ้น ประกอบกับช่วงปิดเทอม มีจำนวนภาพยนตร์ใหม่ๆเข้าฉายทั้งไทยและต่างประเทศ อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่มีแผนปรับราคาตั๋วภาพยนตร์ แต่การที่มีภาพยนตร์ระบบ 3D จะมีต้นทุนที่สูงกว่า ทำให้ราคาตั๋วของภาพยนตร์ประเภทดังกล่าวสูงกว่าภาพยนตร์ทั่วไป โดยปีนี้จะภาพยนตร์ระบบ 3D เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับหุ้นกู้วงเงิน 1.5 พันล้านบาทที่ขอมติผู้ถือหุ้นวันนี้ คาดว่าจะออกขายได้ในช่วงไตรมาส 3/55 เพื่อนำไปทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอน
นายวิชา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติมากกว่า 30% จากเป้าหมายที่ต้องการให้ต่างชาติถือหุ้น 35% จากเดิมที่มีต่างชาติถือหุ้น 20% เนื่องจากการสะท้อนราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นและปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น และระยะยาวจะสะท้อนการลงทุนที่แข็งแกร่ง ดังนั้นบริษัทเตรียมโรดโชว์ต่อนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง โดยในวันที่ 8 เม.ย.55 จะเดินทางโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนเพิ่ม
นอกจากนี้ยอมรับว่า มีการเจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศที่สนใจเข้ามาซื้อหุ้น บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(MPIC) แต่ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากพันธมิตรที่เข้ามาลงทุนจะต้องเกื้อหนุนในธุรกิจ MPIC โดยปัจจุบัน MAJOR ถือหุ้นราว 60%