ทริส จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่-คงอันดับองค์กร BCP ที่ A-/Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 4, 2012 09:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของ บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) ที่ระดับ “A-" ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “A-" ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"

ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท ตลอดจนสะท้อนถึงการผสานธุรกิจการตลาดเข้ากับการดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมัน การกระจายธุรกิจไปสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน และการสนับสนุนจาก บมจ. ปตท. (PTT)

ในการพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่น (Gross Refining Margin) รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนแอและความไม่แน่นอนของนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถดำเนินงานโรงกลั่นน้ำมันและดำรงสถานะทางการตลาดในธุรกิจน้ำมันของประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นั้นจะสร้างรายได้ที่แน่นอนให้แก่บริษัทในระยะยาวและจะช่วยลดความผันผวนของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันได้บางส่วน

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทบางจากปิโตรเลียมก่อตั้งในปี 2528 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2536 บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันขนาด 120 พันบาร์เรลต่อวัน (KBD) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมันภายใต้เครื่องหมายการค้า “บางจาก" อีกประมาณ 1,000 แห่งด้วย การเพิ่มทุนครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 ทำให้ ปตท. กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 ผู้ถือหุ้นของบริษัทประกอบด้วย ปตท. 27.2% กระทรวงการคลัง 10.0% และส่วนที่เหลืออีก 62.8% ถือโดยนักลงทุนทั่วไป

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทบางจากปิโตรเลียมเป็นโรงกลั่นแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) อย่างเต็มรูปแบบหลังจากหน่วยแตกโมเลกุล (Hydro-cracking Unit) เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2552 โดยโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทมีความสามารถในการกลั่นน้ำมันดิบได้หลายชนิดโดยเฉพาะน้ำมันดิบชนิดหนักและมีปริมาณกำมะถันสูง นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่ได้ยังมีมูลค่าสูงอีกด้วย โดยในปี 2554 ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่บริษัทกลั่นได้ประกอบด้วยน้ำมันดีเซล 52% น้ำมันเบนซิน 23% น้ำมันอากาศยาน 13% และน้ำมันเตา 12%

การดำเนินงานโดยทั่วไปของโรงกลั่นน้ำมันเป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ดี ในปี 2554 บริษัทมีปริมาณน้ำมันดิบที่ส่งเข้ากลั่นลดลงเป็น 85.7 KBD จาก 86.0 KBD ในปี 2553 การลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากการหยุดเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมันเป็นการชั่วคราวเพื่อทำการซ่อมบำรุงใหญ่นาน 32 วันในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2555 ค่าการกลั่นพื้นฐาน (Base GRM) ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 6.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2554 จาก 5.63 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2553 เนื่องจากสภาพตลาดมีความเอื้ออำนวยและโรงกลั่นน้ำมันมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านธุรกิจการตลาดของบริษัทบางจากปิโตรเลียมปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเพิ่มขึ้นจาก 297 ล้านลิตรต่อเดือนในปี 2552 เป็น 327 ล้านลิตรต่อเดือนในปี 2553 และ 350 ล้านลิตรต่อเดือนในปี 2554 นอกจากนี้ บริษัทยังคงเป็นผู้จำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการมากเป็นอันดับ 3 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 13.4% ในปี 2554

สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กำลังการผลิตรวม 38 เมกะวัตต์ของบริษัทบางจากปิโตรเลียมซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้นได้รับความเสียหายจากอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2554 โดยคาดว่าความเสียหายทั้งหมดมีมูลค่าประมาณ 2,600 ล้านบาท โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระยะแรกขนาด 8 เมกะวัตต์ซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคม 2554 ต้องหยุดการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2554 และคาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับการชดเชยจากการทำประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Property Damage Insurance) และประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption Insurance)

ในขณะที่โรงไฟฟ้าระยะที่ 2 ขนาด 30 เมกะวัตต์ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 2,000 ล้านบาทนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับเหมาก่อสร้างเนื่องจากอยู่ในระหว่างขั้นตอนการก่อสร้างในช่วงที่เกิดน้ำท่วม โดยความเสียหายของโครงการระยะที่ 2 นี้จะได้รับการชดเชยจากประกันภัยที่ผู้รับเหมาได้ทำไว้ ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระยะแรกสามารถดำเนินงานได้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2555 และระยะที่ 2 จะเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนกรกฎาคม 2555

ฐานะทางการเงินของบริษัทบางจากปิโตรเลียมอยู่ในระดับที่ดี โดยบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 16.3% คิดเป็น 158,610 ล้านบาทในปี 2554 เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและปริมาณการจำหน่ายผ่านธุรกิจการตลาดของบริษัทที่เพิ่มขึ้น อัตราการทำกำไรของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 3.5% ในปี 2553 เป็น 5.6% ในปี 2554

สำหรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจโดยมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ระดับ 38.3% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 บริษัทมีแผนการลงทุนสำหรับโครงการใหม่ในระหว่างปี 2554-2558 มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก ทั้งนี้ จากการคาดการณ์อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายที่ระดับ 5,000-8,000 ล้านบาทต่อปีทำให้คาดว่าสัดส่วนหนี้สินต่อเงินทุนของบริษัทอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่มีการพัฒนาโครงการใหม่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ