(เพิ่มเติม) MINT ตั้งงบลงทุน 5 ปีกว่า 2 หมื่นลบ.- รายได้ทะลุ 5 หมื่นลบ.เพิ่มสัดส่วนตปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 4, 2012 15:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า ในช่วงปี 54 - 59 ตามแผน 5 ปี บริษัทได้ตั้งงบลงทุนจำนวนกว่า 2 หมื่นล้านบาทเพื่อต่อยอดธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ โดยสัดส่วนเกิน 50% จะใช้ลงทุนในธุรกิจโรงแรม ขณะเดียวกันตั้งงบจำนวน 1 - 1.2 หมื่นล้านบาทใช้สำหรับการเข้าซื้อกิจการใหม่ทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร

โดยจะเน้นเข้าซื้อกิจการที่แบรนด์มีชื่อเสียงและมีโอกาสเติบโตได้เร็วจะช่วยผลักดันผลประกอบการในช่วง 5 ปีนี้เติบโตตามเป้าหมาย และพื้นที่เป้าหมายของบริษัทอยู่ในแอฟริกา เอเชีย ตะวันออกกลาง อาเซียน ซึ่งยอมรับว่าได้มองหาลู่ทางลงทุนทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหารในพม่า

ขณะที่คาดว่ารายได้ในช่วง 5 ปีนี้จะทะลุเกิน 5 หมื่นล้านบาท จากปี 54 ที่มีรายได้ 2.8 หมื่นล้านบาท และคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% จากปี 54 มีกำไรสุทธิ 2.88 พันล้านบาท ซึ่งทำสถิติใหม่ที่เติบโต 133%จากปี 53

"ในช่วง 5 ปีนี้ เราคิดว่าทุกปีจะทำสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งรายได้และกำไร โดยรายได้ในปี 59 เราอยากเห็นทะลุเกิน 5 หมื่นล้านบาท เราจะโตทั้ง organic และ inorganic" นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ MINT กล่าว

พร้อมกันนี้ บริษัทได้วางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ในกิจการต่างประเทศเป็น 40% จาก 25% ในปี 54 เพื่อกระจายความเสี่ยงธุรกิจ หลังจากเผชิญความเสี่ยงในประเทศทั้งด้านการเมือง และภัยธรรมชาติจากน้ำท่วม ขณะที่สัดส่วนธุรกิจโรงแรมและอาหารจะใกล้เคียงกันที่ 45% ส่วนอีก 10% มาจากธุรกิจค้าปลีก

ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนส่วนใหญ่จะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งบริษัทจะมีเงินสดจากธุรกิจอาหารสูงอยู่แล้ว โดยปีที่แล้ว บริษัทมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคม และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) ที่ 6 พันล้านบาท และจะมีเงินกู้บางส่วน รวมทั้งยังมีเงินสดจากการแปลงสิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ์ ที่จะครบอายุการใช้สิทธิในปี 56 ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้รับเงินอีกกว่า 4 พันล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจะลดอัตราหนี้สินต่อทุนมาที่ระดับ 1.2 เท่าในปีนี้ จาก 1.3 เท่าในปีก่อน และคาดว่าจะรักษาอัตราส่วน D/E ที่ระดับ 1.2 เท่าในช่วง 5 ปีนี้

นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทเตรียมจะออกหุ้นกู้ วงเงินอย่างน้อย 1.8 พันล้านบาท โดยจะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือน ก.ย. 55 จำนวน 1.8 พันล้านบาท และส่วนหนึ่งจะนำไปขยายกิจการ ส่วนเงินกู้ ปัจจุบันบริษัทมีจำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท โดยอยู่ในรูปหุ้นกู้ 1.2 หมื่นล้านบาท

นายชัยพัฒน์ กล่าวว่า ในปี 55 คาดว่าธุรกิจโรงแรมจะมีอัตราเข้าพักไม่ต่ำกว่า 70% จากที่มีจำนวนโรงแรม 75 แห่ง โดยเป็นเจ้าของเอง 15 แห่ง ร่วมลงทุน 13 แห่ง รับบริหาร 9 แห่ง และ เป็นโรงแรมในกลุ่ม Oaks Hetels and Resorts Limited (OAKS) 38 แห่ง จากปีก่อนมีอัตราเข้าพัก 65% ซึ่งบริษัทเพิ่งเข้าซื้อเมื่อปีที่แล้ว(ถือ 100%) มูลค่า 2.5 พันล้านบาท

โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มีอัตราเข้าพักสูงถึง 74% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตราเข้าพัก 60% เนื่องจากความมั่นใจของนักท่องเที่ยวกลับมาหลังจากการเมืองในประเทศสงบ และอัตราเข้าพักของ OAKS อยุ่ระดับสูงน่าพอใจ โดยปีนี้ MINT จะรับรู้รายได้และกำไรจาก OAKS เต็มปี จากปีก่อนรับรู้ 7 เดือน ที่รายได้ 3 พันกว่าล้านบาท และ กำไร 300กว่าล้านบาท

และในปีนี้ โรงแรมใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม St.Regis ในกรุงเทพ และ โรงแรมในมัลดีฟส์ ที่คาดว่าปีนี้จะไม่ประสบผลขาดทุน หรือ Break event จากปีก่อนที่เพิ่งเริ่มกิจการในปีแรก

นอกจากนี้บริษัทคาดว่าจะได้เข้าบริหารโรงแรมเพิ่มในต่างประเทศ 6 แห่ง โดยปีนี้เปิดบริหารที่จีนเป็นครั้งแรก 2 แห่ง และในปี 56 จะเข้าบริหารโรงแรม 8 แห่ง ซึ่งจะเปิดบริหารอินเดียครั้งแรก 2 แห่ง และในจีนเพิ่มอีก 2 แห่ง โดยใช้แบรนด์ "Anantara" รวมทั้งมีโอกาสจะขายโครงการที่พักอาศัย (Residence) ในโครงการ St.Regis ในกรุงเทพ ที่ยังเหลือ 41% ของโครงการ และ โครงการ St.Regis ในสมุย ที่เหลืออีก 6 ยูนิตจากทั้งหมด 14 ยูนิต และธุรกิจโคงการสถานพักผ่อนแบบปันส่วนแวลา (Time Share) ซึ่งในปีก่อนทำรายได้มากกว่าที่คาดที่จำนวน 18 ล้านเหรียญ และปีนี้ ตั้งเป้า 40 กว่าเหรียญ

ส่วนธุรกิจอาหารในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 12-14% โดยในช่วง 3 เดือนแรกเติบโตแล้ว 10% รวมทั้งจะมีแผนขยายสาขาในปีนี้กว่า 120 สาขาจากสิ้นปี 54 ที่มีทั้งหมด 1,257 สาขา และมีแผนจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มเฉลี่ย 10% ในช่วง 5 ปีนี้ หรือเกินกว่า 2 พันสาขา

นอกจากนี้มีแผนผลักดัน แบรนด์ของบริษัทเองให้กระจายออกนอกประเทศมากขึ้น ได้แก่ Thai express อยู่ในสิงคโปร์, Coffee Club อยู่ในออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์, The Pizza ขณะที่แบรนด์โรงแรมของบริษัทจะผลักดันไปบริหารด้วยเช่นกัน ได้แก่ Anatara, AVANI และ OAKS


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ