นายวิบูลย์ โลหะชุนสิริ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา บมจ.น้ำมันพืชไทย (TVO) เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์"ว่าในปี 55 บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ กำไรสุทธิจะอยู่ในระดับช่วงปี 53-54 โดยคาดว่าปริมาณการขายอยู่ใกล้เคียงปีก่อน ที่ 1.1-1.2 ล้านตันถั่วเหลือง แต่มาร์จิ้นดีกว่าปีก่อน คาดว่าอยู่ที่ 8-12%
โดยปีนี้ความต้องการกากถั่วเหลืองในตลาดจะเติบโตขึ้น หลังจากอียูเริ่มกลับมานำเข้าไก่สด ที่คาดว่าในครึ่งปีหลังจะเริ่มการส่งออกได้ จึงส่งผลดีต่อปริมาณกากถั่วเหลือ โดยกลุ่มอาหารสัตว์คาดว่าจะมีความต้องการกากถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น 5% นอกจากนี้ความต้องการบริโภคน้ำมันพืชถั่วเหลืองในประเทศยังเติบโตขึ้นทุกปีเฉลี่ย 3-5% แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับซัพพลายของปาล์มด้วย หากมีน้อยลงก็จะส่งผลต่อความต้องการน้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มราคาถั่วเหลืองในตลาดโลกได้ปรับสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 55 เนื่องจากผลผลิตในตลาดอเมริกาใต้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น ทำให้หันไปซื้อในตลาดสหรัฐ ซึ่งการเพาะปลูกถั่วเหลืองในสหรัฐปีนี้มีน้อยกว่าปีก่อน ทำให้ซัพพลายในตลาดสหรัฐตึงตัว ขณะที่ราคาในประเทศ หลังจากผลผลิตในตลาดอเมริกาใต้เสียหาย และยังมีปัญหา shipment delay ทำให้การส่งมอบสินค้าล่าช้า จึงทำให้กากถั่วเหลืองในประเทศตึงตัวในไตรมาส 1/55 แต่คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในเดือนเม.ย. และกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายเดือน พ.ค.-มิ.ย.
"ภาวะตึงตัวของกากถั่วเหลืองในไตรมาส 1 ทำให้ราคาขายปรับดีขึ้นเฉลี่ยถึง 70% แต่วอลุ่มการซื้อขายปีนี้น่าจะใกล้เคียงปีก่อน แต่มาร์จิ้นดีขึ้น" นายวิบูลย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแนวโน้มที่จะปรับราคาขายน้ำมันพืช เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาเมล็ดถั่วเหลืองที่เพิ่มขึ้น จากภาวะซัพพลายในตลาดสหรัฐลดลง ประกอบกับราคาถั่วเหลืองในตลาดโลกคาดว่าจะยังมีความผันผวนอยู่ แต่จะมีความผันผวนมากขึ้น หากสหรัฐมีการออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE3) เพราะจะเกิดการเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนจะปรับขึ้นมากน้อยแค่ไหน และช่วงใดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับราคาต้นทุนที่สูงขึ้นจนเกินที่จะแบกรับได้