นายมาร์ค โมเบียส ประธานบริหารเทมเพิลตัน อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในระยะยาวยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องรับปัจจัยหนุนจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบกับรายได้ของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีปัจจัยที่กระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย คือการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า กัมพูชา ซึ่งหากเกิดการหยุดชะงักจะส่งผลกระทบต่อไทยแน่นอน แต่ส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศยังไม่น่ากังวล
ทั้งนี้มองหุ้นที่น่าลงทุนคือหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์และพลังงาน โดยที่ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะสูงกว่าผลตอบแทนจากเงินฝาก 2 เท่า
"ภาพรวมตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าห่วง อยากให้นักลงทุนดูที่ตัวบริษัทมากกว่า" นายมาร์ค กล่าว
นายมาร์ค กล่าวในงานสัมมนา Investment Adventures in Emerging Markets แนะนำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ปีนี้อยู่ที่ 5.4% ลดลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 6% แต่ยังสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วที่คาดว่าเศรษฐกิจขยายตัว 0.8% โดยเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ในแถบเอเซียจะขยายตัว 6.7% ทวีปแอฟริกา 5.5% ละตินอเมริกา 3.6% และประเทศตลาดเกิดใหม่ในยุโรป 2.6%
ทั้งนี้เงินลงทุนจากต่างชาติจะยังไหลเข้าลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่ แม้ขณะนี้จะยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการใช้มาตรการการเงินแบบผ่อนคลาย (QE3) ของสหรัฐ แต่เชื่อว่าจะมีการอัดฉีดสภาพคล่องในรูปแบบอื่นๆต่อเนื่อง
ด้านนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทย ในไตรมาส 2/55 น่าจะมีการปรับฐานเนื่องจากช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาได้ปรับขึ้นมากว่า 30% จากดัชนีระดับ 850 จุด มาอยู่ที่ 1,200 จุด ซึ่งตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงช่วง 1-2 วันนี้ เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังเกี่ยวกับการออก QE3 แต่ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยคาดว่ากรอบการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 900-1,200 จุด แต่อยู่ระหว่างการทบทวนเพื่อปรับกรอบแนวต้านเป็น 1,250-1,350 จุด เพราะเชื่อว่า fund flow จะยังเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ส่วนพอร์ตการลงทุน แนะเข้าลงทุนในหุ้น 60% ตราสารหนี้ในประเทศ 15% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 15% ทองคำและอสังหาริมทรัพย์ 10%