ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (13 เม.ย.) หลังจากที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่แล้วชะลอตัวมากเกินคาด ประกอบกับสถานการณ์หนี้สาธารณะในยูโรโซนที่ดูเหมือนว่าจะกลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีก
ดัชนี FTSE ปรับตัวลง 58.67 จุด หรือ 1% ปิดที่ 5,651.79 จุด และปิดลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 โดยตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีร่วงลง 1.3%
วานนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาสแรกปี 2555 ขยายตัวที่ระดับ 8.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากระดับ 8.9% ในไตรมาส 4 ปี 2554
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ นับว่าอ่อนแอที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี และต่ำกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ที่ 8.3% ส่งผลให้เกิดความวิตกระลอกใหม่เกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก เพราะอัตราขยายตัวดังกล่าวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนอาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง (hard landing) มากกว่าชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป (soft-landing) ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งคาดการณ์
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายยังได้รับแรงกดดันจากวิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรปที่ยังคงยืดเยื้อ อันเนื่องมาจากต้นทุนการกู้ยืมในสเปนที่กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีก
เมื่อวันศุกร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสเปนพุ่งทะลุ 5.9% หลังจากมีรายงานว่า ธนาคารพาณิชย์ของสเปนกู้เงินจำนวนมากจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในเดือนมี.ค. ซึ่งยิ่งเพิ่มความตึงเครียดให้กับสถานะการคลังของประเทศ
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหนักสุด นำโดยบาร์เคลย์ที่ดิ่งลง 3.8% เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการลงทุนในตราสารหนี้ยุโรปของบรรดาธนาคารพาณิชย์
ขณะที่หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ก็ปรับตัวลงเช่นกัน หลังจากที่ราคาทองแดงที่ซื้อขายในตลาดโลหะลอนดอนปรับตัวลดลง เพราะการเปิดเผยจีดีพีจีนได้จุดกระแสความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ทองแดง