บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ยูนิเวนเจอร์(UV) ที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ บริษัท อเดลฟอส จำกัด ตลอดจนรายได้ประจำที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการสำนักงานให้เช่า ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และความสามารถในการรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจผลิตสังกะสีออกไซด์
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากผลงานด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยและเพื่อเช่าที่ยังมีไม่มาก อัตรากำไรที่ต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงเนื่องจากมีการกู้ยืมเงินมากขึ้นสำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวโดยคำนึงถึงลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วย
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาและส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมได้ตามแผน โดยโครงการปาร์คเวนเชอร์น่าจะสร้างรายได้ที่แน่นอนเมื่อโครงการดังกล่าวเปิดดำเนินการเต็มที่ในปี 2555 เนื่องจากบริษัทเน้นการพัฒนาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ดังนั้นอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจึงคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าในอดีต
ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทสูงเกินกว่า 60% อย่างต่อเนื่องจะส่งผลในทางลบต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตได้ อย่างไรก็ตาม หากบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการชั้นนำรายอื่น ๆ โดยที่ยังคงรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำได้ก็จะเป็นผลดีต่ออันดับเครดิต
ทริสเรทติ้งรายงานว่า UV ก่อตั้งในปี 2523 ในฐานะผู้ผลิตสังกะสีออกไซด์ในปี 2543 บริษัทเริ่มเปลี่ยนไปเน้นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยลงทุนในโครงการร่วมทุนกับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์บางราย ในปี 2550 บริษัทอเดลฟอสกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 51.6% ของหุ้นทั้งหมด และ ณ เดือนธันวาคม 2554 มีสัดส่วน 56.4% เจ้าของกิจการของบริษัทอเดลฟอสคือทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลสิริวัฒนภักดีซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งภายใต้กลุ่มทีซีซีด้วย
บริษัทเริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โดยในปี 2550 ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน บริษัท แกรนด์ยูนิตี้ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (Grand U) เป็น 60% ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเป็นต้นมา Grand U พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแล้วทั้งหมด 16 โครงการ โดยเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่าง นอกจากนี้ ในปี 2550 บริษัทยูนิเวนเจอร์ยังก่อตั้ง บริษัท เลิศรัฐการ จำกัด (LRK) เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ชื่อปาร์คเวนเชอร์ด้วย ปาร์คเวนเชอร์ประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานให้เช่า ร้านค้า และโรงแรม โดยบริษัทได้ให้เช่าช่วงพื้นที่ในส่วนของโรงแรมแก่บริษัทในเครือของผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บริษัท ทีซีซี ลักซ์ชูรี โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (TCCLH) ให้เป็นผู้ดำเนินการ ส่วนบริษัทเองนั้นบริหารพื้นที่เฉพาะในส่วนของสำนักงานและร้านค้า
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ยอดขายคอนโดมิเนียมของ UV ลดลง 30% เป็น 2,392 ล้านบาทในปี 2554 เนื่องจากการขายชะลอตัวจากปี 2553 ยอดขายในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2555 เท่ากับ 470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 100 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 รายได้จากคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 2,545 ล้านบาทในปี 2554 จาก 1,139 ล้านบาทในปี 2553 โดยเป็นผลมาจากการโอนคอนโดมิเนียมในโครงการยู ดีไลท์ @ ห้วยขวางสเตชั่น และยู ดีไลท์ @ จตุจักรสเตชั่นให้แก่ลูกค้า
ส่วนรายได้จากธุรกิจสังกะสีออกไซด์และธุรกิจอื่น ๆ ลดลง 8% เป็น 1,044 ล้านบาทในปี 2554 เนื่องจากโรงงานสังกะสีออกไซด์ทั้ง 2 แห่งต้องหยุดการผลิตชั่วคราวนาน 2 เดือนในช่วงวิกฤติอุทกภัยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554
สำหรับพื้นที่สำนักงานและร้านค้าให้เช่าในโครงการปาร์คเวนเชอร์นั้นสร้างรายได้ให้แก่บริษัท 13 ล้านบาทในปี 2554 เนื่องจากโครงการเริ่มเปิดดำเนินการในเดือนกันยายน 2554 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทดีขึ้น โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 10.46% ในปี 2554 จาก 6.13% ในปี 2553 และ 0.17% ในปี 2552 แม้ว่าบริษัทจะมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น แต่อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทยังคงต่ำกว่าผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายอื่น ๆ
ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นมากในปี 2554 เนื่องจากบริษัทกู้เงินเพื่อนำไปใช้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่ามากขึ้น ณ สิ้นปี 2554 อัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 55.42% จาก 32.24% และ 17.36% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 และ 2552 ตามลำดับ กระแสเงินสดในช่วงปี 2551-2554 ได้แรงหนุนจากเงินรับค่าก่อสร้างล่วงหน้าสำหรับโครงการปาร์คเวนเชอร์ที่ได้จาก TCCLH
อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นทำให้กระแสเงินสดของบริษัทอ่อนตัวลง ดังนั้น อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจึงลดลงเป็น 15.86% ในปี 2554 จาก 36.02% ในปี 2553 และ 88.56% ในปี 2552