นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) เปิดเผยว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิไตรมาส 1/55 (งบการเงินรวมก่อนสอบทาน)ที่ 1.03 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ไม่รวมกำไรพิเศษครั้งเดียวจากเงินลงทุนในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตในไตรมาส 1/54
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักขับเคลื่อนผลกำไรสุทธิที่ดีมาจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากสินเชื่อที่ขยายตัวในอัตราสูง รายได้จากการบริหารการเงิน และการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจประกัน ในขณะเดียวกันคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่ามีผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในช่วงไตรมาสก่อนหน้า
“ผลประกอบการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของธนาคาร ซึ่งสอดรับกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ กำไรสุทธิที่เติบโตสูงเป็นผลจากการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มธุรกิจได้อย่างครบวงจร และการขยายตัวของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ความสำเร็จอันเกิดจากโครงการปรับปรุงธนาคารที่มีมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความผูกพันที่แน่นแฟ้นของธนาคารกับลูกค้าทุกกลุ่ม นับเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ธนาคารมีผลประกอบการในระดับที่ดีเช่นนี้"นายวิชิต กล่าว
ช่วงไตรมาส 1/55 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 29.0% จากไตรมาส 1/54 มาอยู่ที่ระดับ 14.2 พันล้านบาท ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการขยายตัวของสินเชื่อที่สูงถึง 19.6% โดยการเติบโตกระจายในทุกกลุ่มธุรกิจหลักทั้งสาม ได้แก่ สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 10.5% สินเชื่อธุรกิจ SME เพิ่มขึ้น 34.1% และสินเชื่อลูกค้าบุคคลเพิ่มขึ้น 23.9%
นอกจากนี้ ธนาคารสามารถดำเนินตามยุทธศาสตร์ทางธุรกิจในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มธุรกิจ SME เช่นเดียวกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรถยนต์ของกลุ่มลูกค้าบุคคลซึ่งขยายตัว 18.2% และ 42.1% ตามลำดับ
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 12.4% จากไตรมาส 1/54 (ไม่รวมกำไรพิเศษครั้งเดียวจากเงินลงทุนในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตในไตรมาส 1/54) จากการเติบโตต่อเนื่องของรายได้สุทธิจากธุรกิจประกันภัย เพิ่มขึ้น 69.5% และรายได้จากการบริหารการเงิน (ธุรกรรมเพื่อค้าและการปริวรรตเงินตราต่างประเทศ) เพิ่มขึ้น 33.6%
คุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยธนาคารตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ 1,499 ล้านบาทในไตรมาส 1/55 สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ สิ้นไตรมาส 1/55 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.39% จากระดับ 2.61% ณ สิ้นปี 54)อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 131.6% ณ สิ้นไตรมาส 1/55 เทียบกับ 127.1% ณ สิ้นปี 54