เมย์แบงก์ชู MBKET แข็งแกร่งช่วยหนุนขึ้นเป็นผู้นำด้านเงินในปี 58 รับ AEC

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 23, 2012 14:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดาโต๊ะ ศรี อับดุล วาฮิด โอมาร์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เมย์แบงก์ เปิดเผยว่า เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทยเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญของกลุ่มเมย์แบงก์ในการที่จะทำให้กลุ่มเมย์แบงก์ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการเงินในปี 58 ซึ่งเมย์แบงก์เราให้ความสำคัญกับตลาดที่มีศักยภาพ และตลาดที่จะทำให้เรามีความแข็งแกร่ง

สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นประเทศไทยถือเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่โตเป็นอันดับสอง ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์ว่าจะถึง 5.2% ในปี 55 นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้เราซื้อกิจการกิมเอ็ง โฮลดิ้ง และนอกจากนี้การที่ประเทศไทยคาดการณ์ว่าจะยังคงมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราร้อยละ 5 ต่อเนื่องไปอีก 5 ปี ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดสำคัญของกลุ่มเมย์แบงก์ในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

“เมย์แบงก์ กิมเอ็งมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำทางการเงินภายในปี 58 ซึ่งเป็นปีที่เราจะได้ประโยชน์จากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปีนั้น และจะเป็นปีที่เราจะทำให้ภูมิภาคของเราเป็นตลาดเดียวที่มีศักยภาพและมีความสามารถในการแข่งขันสูง รวมถึงเป็นฐานการผลิต ซึ่งเมย์แบงก์กิมเอ็งตั้งใจที่จะให้ทุนสนับสนุนการเปิดเสรีทางการเงิน สินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานฝีมือ ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของเมย์แบงก์กิมเอ็งในประเทศไทย เราคาดหวังว่าจะใช้ศักยภาพ เครือข่ายสำหรับธุรกิจซื้อ ขายหลักทรัพย์ และธุรกิจวาณิชธนกิจในประเทศไทย นอกจากนี้เราจะนำความชำนาญในธุรกิจอื่นๆ เช่น ประกันภัย ธนาคารอิสสาม และการบริหารจัดการการเงินมาใช้ในการขยายธุรกิจในประเทศไทยในอนาคต"

เต็งกู ดาโต๊ะ ซาฟรูล์ เต็งกู อับดุล อาซิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เมย์แบงก์ ไอบี กล่าวเสริมว่า เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทยตั้งเป้ารายได้สูงขึ้นด้วยการขยายธุรกิจรวมถึงการพัฒนาสินค้า และบริการใหม่ๆ โดยในปี 54 เมย์แบงก์ กิมเอ็งมีรายได้ 3.2 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 654 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าขยายเครือข่ายด้วยการลงทุนขยายสาขาเพิ่มอีก 3 สาขาในปีนี้ รวมถึงเริ่มให้บริการการบริหารจัดการเงินและการลงทุน และการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ offshore อีกด้วย ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานการเป็นผู้นำในธุรกิจด้านนี้ในประเทศไทย

เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทยมีแผนให้บริการการซื้อขายแบบ Cross Trading ภายใต้เครือข่าย ASEAN LINK ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการซื้อขายหลักทรัพย์ของอาเซียน โดยในระยะแรกจะเป็นการซื้อขายหลักทรัพย์ข้ามกันระหว่างประเทศคือ มาเลเซีย สิงคโปร์ และประเทศไทยซึ่งคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ภายในปี 2555 ซึ่งกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติรวมกันมากกว่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเป็นภูมิภาคที่มีความเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากแห่งหนึ่งของโลก

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET)เปิดเผยว่า ชื่อของเมย์แบงก์ กิมเอ็งถือว่าเป็นความแข็งแกร่งมาก และเชื่อมั่นว่าจะทำให้เมย์แบงก์กิมเอ็งเป็นธนาคารและสถาบันการลงทุนของภูมิภาคอีกทั้งแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำทางการเงินของเมย์แบงก์กิมเอ็งในภูมิภาคอีกด้วย

การรวมกันครั้งนี้ทำให้เมย์แบงก์กิมเอ็งประเทศไทยพัฒนาการให้บริการวาณิชธนกิจ บริการที่ปรึกษาและจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ รวมถึงการให้บริการในการบริหารจัดการการเงินและการลงทุน และยิ่งไปกว่านั้นเราจะมีบริการใหม่ให้กับลูกค้าในเร็วๆนี้คือ WEALTH MANAGEMENT SERVICE ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ซับซ้อน และหลากหลาย โดยทีมงานมืออาชีพของเรา

ส่วนบริการซื้อขายหลักทรัพย์ OFFSHORE นั้นลูกค้าสามารถซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ หรือซื้อขายโดยตรงผ่านระบบเครือข่ายออนไลน์ของ MBKET ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในไตรมาสสองของปีนี้ ซึ่งการลงทุนข้ามชาตินี้ถือเป็นช่องทางที่ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วในเรื่องของผลตอบแทน และการกระจายความเสี่ยงของลูกค้า

นอกจากประเทศไทยแล้วเมย์แบงก์ กิมเอ็งยังให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์แก่ลูกค้าในอีกสี่ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา

“ในส่วนของการขยายเครือข่ายในประเทศไทยนั้น ได้มีการเปิดสาขาที่หัวหินเมื่อเร็วๆนี้ และมีแผนที่จะเปิดเพิ่มเติมที่กรุงเทพมหานครอีกสองสาขา ซึ่งจะทำให้เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทยมีสาขาทั่วประเทศทั้งสิ้น 47 สาขา และมีทีมงานมืออาชีพกว่า 600 คน" นายมนตรีกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ