นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า การตั้งบริษัทย่อยในสหรัฐฯ เป็นไปตามแผนขยายการลงทุนในต่างประเทศ หลังจากมีการตั้งบริษัทย่อยในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนไปแล้ว เนื่องจากมองว่าปัจจุบันราคาสินทรัพย์ในสหรัฐปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจากผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงมองว่าเป็นโอกาสที่บริษัทอาจจะเข้าลงทุนในธุรกิจคลังสินค้าให้เช่า เพราะเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความชำนาญ แต่ในขณะนี้ยังไม่มีการเจรจาเข้าซื้อสินทรัพย์ใดๆ
"เราเปิดเป็นบริษัทย่อย มีพนักงานไว้ก่อน 1-2 คน เพื่อโอกาสการเข้าลงทุน เพราะตอนนี้ราคาสินทรัพย์ในสหรัฐก็ลงมาเยอะแล้ว ถ้าเราจะซื้อก็คงเป็น warehouse เหมือนเดิมเพราะเป็นธุรกิจที่เราถนัด แต่ตอนนี้ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ" นายวีรพันธ์ กล่าว
อนึ่ง TICON จัดตั้งบริษัทย่อย 1 แห่งในสหรัฐ คือ TICON Property, Inc.เพื่อรองรับการขยายธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100
นายวีรพันธ์ กล่าวถึงผลดำเนินการในปัจจุบันว่า ในไตรมาส 1/55 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรมากกว่า 200 ล้านบาท เป็นการรับรู้รายได้จากกการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน(TFUND) จำนวน 760 ล้านบาท และรายได้จากค่าเช่าที่ดีขึ้นหลังเกิดน้ำท่วมเมื่อปลายปีก่อน
ในช่วงดังกล่าวคลังสินค้าของบริษัทมีผู้เช่าใหม่เข้ามา 60,000 ตารางเมตร แต่เนื่องจากมีผู้เช่าเดิมย้ายออกด้วย จึงเหลือเป็นการเช่าสุทธิเพิ่มขึ้นประมาณ 52,000 ตารางเมตร ขณะที่โรงงานให้เช่ามีปัญหาผู้เดิมย้ายออกจำนวนมากกว่า 20,000 ตารางเมตร แม้จะมีผู้เช่าใหม่ 12,000-13,000 ตารางเมตร
บริษัทได้มีการขยายพื้นที่ให้เช่าในที่ดินเขตอื่นๆ ที่มีอยู่ให้เพิ่มขึ้น หลังเกิดน้ำท่วมในพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าของบริษัทใน จ.อยุธยา ทำให้มีลูกค้าย้ายออกจำนวนหนึ่ง โดยบริษัทมีเป้าหมายสร้างโรงงานให้เช่าเพิ่มขึ้นอีก 1 แสนตารางเมตร และคลังสินค้าให้เช่า 1.5 แสนตารางเมตร ซึ่งจะทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 2/55 จำนวน 30,000-40,000 ตารางเมตร เพื่อให้ทันรองรับความต้องการของลูกค้า
"ตอนนี้ที่อยุธยามีผู้เช่าน้อยลงจากเดิมมีประมาณ 50% หลังเกิดน้ำท่วมเหลือเพียง 10% ทำให้เราต้องเร่งสร้างโรงงานให้เช่าและคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้นในเขตภาคตะวันออก ที่ปิ่นทอง บ่อวิน และอมตะนคร"นายวีรพันธ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2/55 คาดว่าจะลดลงจากไตรมาส 1/55 เนื่องจากไม่มีรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯ ขณะที่ได้รายได้จากการให้เช่า คาดว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากลูกค้าเดิมที่ถูกน้ำท่วมเริ่มทยอยกลับมาติดตั้งเครื่องจักรเพื่อเตรียมการผลิต แต่ลูกค้าบางส่วนโดยเฉพาะที่อยุธยา ยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมที่คงต้องรอความชัดเจนในปีนี้ว่าจะเกิดน้ำท่วมอีกหรือไม่เพื่อให้เกิดความมั่นใจ
นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาส 3/55 บริษัทมีแผนจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุน 2 พันล้านบาท และไตรมาส 4/55 อีก 1,500 ล้านบาท ทำให้ทั้งปี 55 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้รวมกว่า 5,200 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯ 4,200 ล้านบาท และรายได้ค่าเช่า 1,000 ล้านบาท ดังนั้น กำไรสุทธิในปี 55 คาดว่าจะเติบโต 100% จากปี 54 ที่มีกำไร 445 ล้านบาท