โบรกใหญ่เชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF)หลังคาดว่าไตรมาส 1/55 กำไรสุทธิจะทำสถิติใหม่ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยเฉพาะจากกำไรพิเศษที่บันทึกเข้ามาถึง 7 พันล้านบาท ส่วนกำไรจากการดำเนินงานแม้ไตรมาสนี้จะยังไม่ดีนัก แต่เชื่อว่ายังไปได้สวยในช่วงไตรมาส 2-3/55 โอกาสโตสูงจากราคาและปริมาณการขาย รวมทั้งรับรู้รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ คือ CPP เต็มไตรมาสครั้งแรก อีกทั้ง มองว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซต์จากมูลค่าพื้นฐานค่อนข้างมาก
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ซื้อ 45.00 บล.เคทีบี ซื้อ 50.00 บล.เอเซีย พลัส ซื้อ 46.65
น.ส.สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า มีความเห็นเป็นบวกและคงคำแนะนำ"ซื้อ"หุ้น CPF โดยเชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 1/55 จะอกมาดี โดยเฉพาะจากกำไรพิเศษจากการขายกิจการบริษัทประกันชีวิตและประกันภัย
แต่แง่การดำเนินงานปกติในไตรมาสแรกคงไม่ดีนัก เนื่องจากราคาหมูกับไก่ตกลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดในช่วงเดือนมี.ค.55 มาแล้ว ซึ่งไตรมาส 2-3 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นผลประกอบการในส่วนของการดำเนินงานจะออกมาดี เราเชื่อว่าบริษัทจะเติบโตต่อเนื่อง และสามารถเพิ่มยอดขายเป็น 6 แสนล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้าตามที่บริษัทตั้งเป้า
สำหรับไตรมาส 1/55 จะมีกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 6,206 ล้านบาทจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนใน CPV แต่กำไรปกติคาดว่าลดลงทั้งเมื่อเทียบ QoQ และ YoY จากราคาเนื้อสัตว์ที่ตกต่ำ แต่ราคาเนื้อสัตว์น่าจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังจาก Supply ลดลง อีกทั้งการรวม CPP เต็มไตรมาสจะทำให้กำไรในไตรมาส 2/55 จากไตรมาส 1/55 ที่รับรู้กำไรเพียง 1 เดือน ทำให้กำไรไตรมาส 2 เติบโตโดดเด่นจากการลงทุนใน CPP และในประเทศอื่นๆจะเพิ่มศักยภาพเติบโตระยะยาวให้กับ CPF
อย่างไรก็ตาม คาดว่าธุรกิจในต่างประเทศอื่นๆ อาทิ ตุรกี คาดฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ปีนี้ojkจะพลิกมาเป็นกำไรได้หลังจากขาดทุนถึง 800 ล้านบาทในปีก่อนจากปัญหาราคาไก่ตกต่ำ เราจะปรับเพิ่มประมาณการสะท้อนการรวม CPP หลังการประกาศงบ 1Q55 ในเดือน พ.ค. ในเบื้องต้นเราประเมินว่ากำไรปี 55 จะเติบโต 39% มาที่ 2.2 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 3.00 บาท/หุ้น
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.เอเซีย พลัส ประเมินราคาเหมาะสมหุ้น CPF ที่ 46.65 บาท แต่หากประกาศงบไตรมาส 1/55 ออกมาจะทบทวนปรับประมาณการราคาเหมาะสมเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คาดว่างบไตรมาส 1/55 จะมีกำไรสูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทโดยคาดว่าจะมีกำไร 9 พันล้านบาท จากกำไรพิเศษจากการประเมินมูลค่า CP เวียดนาม ประมาณ 7 พันล้านบาท แต่มีกำไรปกติเพียง 1.6 พันล้านบาท จากการที่ราคาสุกรและไก่ตกต่ำในช่วงที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไตรมาส 2-3 จะดีมากจากราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้น และจากการส่งออกที่เป็นช่วงไฮซีซั่นปริมาณการขายเติบโต รวมทั้งจะรับรู้กำไรจากการลงทุนใน CP ฮ่องกงหรือ CCP เต็มไตรมาสจากที่ไตรมาส1/55 รับรู้แค่ประมาณครึ่งไตรมาสเท่านั้น
ในส่วนของกำไรทั้งปีประเมินว่ากำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท หากรวมกำไรพิเศษคาดว่าจะอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตถึง 70% จากปีก่อน ซึ่งแม้ว่ายังไม่ปรับราคาเหมาะสมใหม่ แต่ก็ยังคงแนะนำซื้อที่ 46.65 บาท ราคาหุ้นยังมีอัพไซต์ถึง 20%
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.เคทีบี(ประเทศไทย)คาดว่า CPF จะประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/55 วันที่ 9 พ.ค.55 จะทำกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นโดดเด่นอีกครั้งเมื่อเทียบทั้ง y-o-y และ q-o-q โดยคาดกำไรสุทธิไว้ที่ 5,945 ล้านบาท (+71% y-o-y และ +147% q-o-q) ปัจจัยหนุนที่สำคัญมาจากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้นในบริษัทประกันชีวิตและประกันภัย รวมถึงการตีมูลค่าสินทรัพย์ใหม่
ส่วนธุรกิจหลักไม่โดดเด่นในไตรมาสดังกล่าว เนื่องจากปกติแล้วไม่ใช่ฤดูกาลขายของปี ผนวกกับราคาเนื้อสัตว์ (ได้แก่ ไก่และหมู) อ่อนตัวลงในระหว่างไตรมาส ทำให้เรามองกำไรจากธุรกิจหลักไม่สดใส แต่ไม่ถึงกับขาดทุน รวมทั้งราคาไก่และหมู ได้เริ่มพลิกฟื้นมาสู่ระดับปกติมากขึ้นตามลำดับในขณะนี้ หลังราคาตกต่ำลง ทำให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ เริ่มประสบปัญหา จนต้องลดปริมาณการผลิตลงเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนที่จะตามมา ประกอบกับการบริโภคในช่วง 1Q55 ยังไม่แข็งแกร่งนัก เมื่อเทียบ y-o-y
แต่เรายังคงเห็นถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมที่ CPF ได้ลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะอินเดีย, มาเลเซีย และล่าสุด CPP ประเทศจีน มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี รวมทั้งยังคงคาดว่ารัสเซียจะเข้าสู่จุดคุ้มทุนในช่วงปลายปี 55 ได้สำเร็จ ส่วน CPALL ที่มี CPF ถือหุ้น 30% ยังคงเป็นส่วนที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัทต่อไปในระยะยาว
เรายังคงมุมมองที่เป็นบวกต่อทิศทางผลการดำเนินงานของ CPF ในระยะยาว จากคาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทที่กำลังเติบโต โดยมีเป้าหมายยอดขาย 5 ปีข้างหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจากปีปัจจุบันที่คาดว่ายอดขายจะอยู่ระดับ 3 แสนล้านบาทในปีนี้
ส่วนในระยะใกล้ (3-6 เดือนข้างหน้า) CPF ยังคงมี catalyst ที่ดีจากแนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 2-3 ซึ่งเป็นช่วงเติบโตของยอดขายและกำไรของบริษัทลูกในต่างประเทศแทบทุกปี รวมถึงการรวมผลการดำเนินเต็มไตรมาสของ CPP ในประเทศจีนเข้ามา เราปรับราคาเป้าหมายของ CPF เพิ่มขึ้นเป็น 50 บาท (PE 13 เท่า ซึ่งยังเป็นระดับไม่สูงมากนัก ขณะที่กำไรสุทธิมีแนวโน้มสูงขึ้นมากในระยะยาว) ราคาหุ้นล่าสุดยังมี upside เกือบ 32% บวกกับ dividend yield อีกประมาณ 5% เรายังคงแนะนำ“Strong Buy"