นายมนตรี ศรีไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) กล่าวว่า ในปี 55 บริษัทตั้งเป้ามีรายได้เติบโตกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3.2 พันล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิสูงกว่าปีก่อน หลังจากมีธนาคาร เมย์แบงก์(มาเลเซีย) เข้ามาถือหถุ้นใหญ่ ซึ่งทำให้บริษัทมีการพัฒนาบริการทางการเงินด้านต่างๆ ได้ครบวงจรยิ่งขึ้น
ในปีนี้บริษัทมีแผนขยายธุรกิจในทุกด้าน ทั้งรายย่อย จะเปิดให้บริการ Private Wealth หลังจากสัดส่วนลูกค้าสถาบันจะมีเข้ามาเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจวาณิชธนกิจอยู่ระหว่างการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)
นายมนตรี กล่าวว่า บริษัทตั้งมีส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในปีนี้เพิ่มเป็น 12-13% จากปี 54 ที่อยู่ 11.86% ซึ่งตั้งแต่ต้นปีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 12.35% พร้อมทั้งคงเป้าหมายในการครองอันดับ 1 โบรกเกอร์ของประเทศไทยต่อเนื่องอีก 10 ปี
"เมย์แบงก์ฯ เข้ามาได้ไม่นานก็ทำให้เครดิตเรทติ้งเราสูงขึ้น จากเดิมอยู่ที่ A เพิ่มเป็น AA- และตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเราเป็นโบรกเกอร์อันดับ 1 ในไทย และตั้งเป้าอย่างน้อยอีก 10 ปียังครองตำแหน่งโบรกเกอร์อันดับ 1 อยู่"นายมนตรี กล่าว
นายมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทปรับเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)ปี 55 เพิ่มเป็น 1,300 จุด ค่า PE อยู่ที่ 12.5 เท่า จากเดิมตั้งเป้าหมาย SEt Index ไว้ที่ 1,234 จุด หลังจากประเมินว่าความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกลดลง ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐและวิกฤติหนี้สินฝั่งยุโรป อีกทั้งเชื่อว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วมหนักในปีก่อน
สำหรับการเปิดเสรีตลาดทุน โดยการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักกทรัพย์(คอมมิชชั่น)ตั้งแต่ต้นปี 55 ส่งผลค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ยในอุตสาหกรรมในไตรมาส 1/55 ปรับลดลง แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัท
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่าไม่ควรจะให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงเกินไป แต่ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของธุรกิจ ที่ผ่านมาทั้งเอกชนและรัฐบาล ทั้งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เห็นด้วยต่อการเปิดเสรีตลาดทุน จึงอยากให้ทุกฝ่ายเน้นการพัฒนาคุณภาพด้านข้อมูล งานวิจัยต่างๆ มากกว่าการแข่งขันด้านราคา