ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 เม.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทยุโรป รวมถึง Nordea Bank AB และ Kone Oyj นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานยอดขายบ้านใหม่ที่อยู่ในระดับดีเกินคาดของสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ดีดขึ้น 1% แตะที่ 254.37 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3169.32 จุด บวก 70.95 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 6590.41 จุด บวก 67.41 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5709.49 จุด บวก 43.92 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค.ลดลง 7.1% สู่ระดับ 328,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน แต่นับว่าดีกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดไว้ที่ 320,000 ยูนิต ส่วนตัวเลขยอดขายในเดือนก.พ.ได้รับการปรับทบทวนเพิ่มขึ้นอย่างมากสู่ระดับ 353,000 ยูนิต ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับแต่เดือนพ.ย.2552 จากเดิมที่ 313,000 ยูนิต
ขณะที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยว่า ราคาบ้านเดือนก.พ.ของสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่เดือนเม.ย. 2554 โดยดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองใหญ่ ขยับขึ้น 0.2% ในเดือนก.พ. สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่ราคาบ้านใน 20 เมืองในเดือนก.พ.ปรับลง 3.5% เมื่อเทียบรายปี
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่สดในของบริษัทหลายแห่งในยุโรป ซึ่งรวมถึงธนาคาร Nordea Bank ของฟินแลนด์ที่เปิดเผยกำไรไตรมาสแรกพุ่งขึ้น 4.5% ซึ่งช่วยหนุนราคาหุ้นดังกล่าวปรับตัวขึ้น 3.8%
ขณะที่หุ้น Kone Oyj พุ่งขึ้น 8.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 3 ปี หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ไตรมาสแรกที่ระดับ 108.6 ล้านยูโร สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการร์ไว้ที่ 94.6 ล้านยุโร
หุ้น TeliaSonera ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่สุดของสวีเดน พุ่งขึ้น 6.6% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้
หุ้น Michelin ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ทะยานขึ้น 6.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมานแรกเพิ่มขึ้น สู่ระดับ 5.3 พันล้านยูโร เนื่องจากความต้องการยางที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมการบินและยานยนต์
หุ้น Cove Energy พุ่งขึ้น 4.6% หลังจากมีรายงานว่า Cove Energy ตกลงรับข้อเสนอการซื้อกิจการ Royal Dutch Shell ในมูลค่าที่เพิ่มขึ้นเป็น 1.12 พันล้านปอนด์ หรือ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในยุโรปเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยนั้น กระทรวงการคลังสเปนเปิดเผยว่า สเปนประมูลขายตั๋วเงินคลังได้ทั้งสิ้น 2 พันล้านยูโร (2.6 พันล้านดอลลาร์) ในขณะที่ตลาดมีความต้องการแข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าผลตอบแทนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประมูลขายในครั้งก่อน ทั้งนี้ สเปนสามารถขายตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือนได้ 724 ล้านยูโร โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 0.63% เพิ่มขึ้นจาก 0.38% ในการประมูลเมื่อเดือนมี.ค. ในขณะที่ตั๋วเงินคลังอายุ 6 เดือนประมูลขายได้ 1.2 พันล้านยูโร ที่อัตราผลตอบแทน 1.58% เพิ่มขึ้นจาก 0.84% ส่วนความต้องการตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือนมีมากกว่าจำนวนที่นำออกประมูลขายถึง 7.6 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 3.5 เท่าในการประมูลครั้งก่อน และความต้องการตั๋วเงินคลังอายุ 6 เดือนอยู่ที่ 3.25 เท่า ลดลงจาก 5.6 เท่า
นอกจากนี้ นายจอร์จ โปรโวปูลอส ผู้ว่าการธนาคารกลางกรีซคาดว่า เศรษฐกิจกรีซจะหดตัวลง 5% ในปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่แย่กว่าการคาดการณ์ในครั้งก่อน
โดยนายโปรโวปูลอสกล่าวเตือนในการประชุมสมัชชาทั่วไปของธนาคารว่า กรีซอาจจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง โดยมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้และแยกตัวออกจากยูโรโซนถ้าหากการเมืองยังไร้เสถียรภาพภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 6 พฤษภาคมนี้