หุ้น SCC ราคาวิ่งขึ้น 2.69% มาอยู่ที่ 343 บาท เพิ่มขึ้น 9 บาท มูลค่าซื้อขาย 840.86 ล้านบาท เมื่อเวลา 15.45 น. โดยเปิดตลาดที่ 333 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 344 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 333 บาท
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อลงทุน"หุ้น บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) หลังกำไรไตรมาสแรกน่าผิดหวัง 5.9 พันล้าน(+87%qoq, -35%yoy)แม้มากกว่าคาด ซึ่งเป็นฐานที่ต่ำเมื่อเทียบกับประมาณการกำไรของเราในปีนี้เท่ากับ 30,713 ล้านบาท หรือ ประมาณ 7.7 พันล้านบาทต่อไตรมาส เนื่องจากถูกแรงฉุดสำคัญในธุรกิจปิโตรเคมีที่ส่วนต่างราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบได้ทรุดลงหนัก ในขณะที่ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างโดดเด่นมีกำไรสูง ส่วนธุรกิจกระดาษกลับสู่ปกติ
อย่างไรก็ดี คาดไตรมาส 2/55 จะกระเตื้องขึ้นจากสเปรดในธุรกิจปิโตรฯที่ปรับตัวสูงขึ้น และมีการเติบโตมากขึ้นในครึ่งปีหลัง แนวโน้มในระยะยาวมีศักยภาพเติบโตสูง จากเงินสดในมือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสูง มีการขยายลงทุนอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าลงทุน 1.5 แสนล้านบาทใน 5 ปีนี้ พร้อมประเมินราคาเป้าหมาย 390 บาท
ส่วนบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)ระบุแนะ"ซื้อ"หุ้น SCC โดยให้ราคาพื้นฐาน 390 บาท ทั้งนี้ SCC ยังเดินหน้าขยายการลงทุนต่อในตลาดอาเซียน โดยมีแผนที่จะใช้เงินลงทุน 4 หมี่นล้านบาทในปี 55 (ใช้ไปแล้ว 2 หมื่นล้านบาทใน1Q55) จากเงินที่มีในมือ 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนนี้จะช่วยเหนุนการเติบโตที่ต่อเนื่องในระยะยาวของบริษัท อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นอาจแกว่งตัวในระยะสั้นจากการที่ Spread ของปิโตรเคมีอ่อนแอ แต่ก็เป็นจังหวะในการทยอยซื้อสะสมเพื่อการลงทุนระยะกลาง-ยาว
กำไรสุทธิ 1Q55 เท่ากับ 6.0 พันล้านบาท (EPS : 5.0 บาท) ลดลง 35%YoY เนื่องจากมาร์จิ้นของปิโตรเคมีลดลงตามอุปทานล้นเกินและอุปสงค์ซบเซาในตลาดโลก ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลงเป็น 344 ล้านบาท (ลดลงไป 2.7 พันล้านบาทจาก 1Q54)แต่คาดว่า Spread ของปิโตรเคมีจะค่อย ๆ ดีขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มฟื้นในช่วง 2Q55 นี้แต่ยังไม่แข็งแกร่งนัก เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปถดถอยและเศรษบกิจีนชะลอตัวลง
ด้านซีเมนต์คาดว่ายังไปได้ดีใน 2Q55 และ 2H55 ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศสูง ทั้งจากกลุ่มพาณิชย์, ที่พักอาศัย และโครงสร้างขั้นพื้นฐาน สำหรับราคาซีเมนต์คาดว่าจะทรงตัวเพราะการแข่งขันที่สูง
บล.เกียรตินาคิน แนะ"ซื้อ"หุ้น SCC เช่นกัน หลังประกาศผลประกอบการ Q1/55 ด้วยกำไร 5.9 พันล้านบาท (+87%QoQ, -35%YoY) เป็นผลจากกำไรของธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลง ซึ่งสาเหตุจากส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์หลักที่ลดลงตามความต้องการของตลาดโลก อย่างไรก็ตามคาดเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจเคมีภัณฑ์จากส่วนต่างราคาที่ดีขึ้น ประกอบการธุรกิจซีเมนต์และธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่เริ่มกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในประเทศ โดยมีกำไรสุทธิในQ1/55 เทียบกับปีก่อนเพิ่มขึ้น 12% และ 70%ตามลำดับ พร้อมให้เป้าหมายเดิม 386 บาท โดยคาดการจ่ายปันผลปี 2555 ราว 14 บาท ให้ผลตอบแทน 3.4-4.2%