นายนพปฎล เดชอุดม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น(TRUE) กล่าวว่า ในปี 55 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวหรือโตไม่เกิน 10% โดยยังคงเน้นการเติบโตจากธุรกิจให้บริการอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์และโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้แบรนด์"ทรูมูฟ"และ"ทรูมูฟ เอช"โดยปีนี้ตั้งเป้าว่าจะสามารถมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น และจะขยับขึ้นจากการเป็นผู้ให้บริการอันดับ 3
สำหรับในไตรมาส 1/55 ที่ผ่านมาถือว่า ทรูมูฟ เอช ประสบความสำเร็จโดยมีลูกค้าถึง 1 ล้านรายเร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้ และทั้งปีนี้จะได้ลูกค้าใหม่ 4 ล้านราย ทำให้การคุ้มทุนทางธุรกิจของทรูมูฟ เอช น่าจะเร็วกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 4 ปี
นายนพปฎล กล่าวต่อว่า ในปี 55 บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท ไม่รวมการประมูลใบอนุญาต 3G บนคลื่นใหม่ โดยจะนำไปใช้ลงทุนวางโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งตามแผนสิ้นปี 55 บริษัทจะมีโครงข่ายครอบคลุมทุกตำบล ส่วนที่เหลือจะลงทุนขยายโครงข่ายบรอดแบนด์ที่เชื่อว่าอนาคตยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เนื่องจากปัจจุบันอัตราการใช้อินเตอร์เน็ตต่อครัวเรือนของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ
ขณะที่ธุรกิจเคเบิ้ลทีวีภายใต้"ทรูวิชั่นส์"ในปีนี้ผลประกอบการน่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทจะมีการตรวจจับผู้ที่ใช้กล่องรับสัญญาณเถื่อน และเชื่อว่าภายในปลายปีนี้หลังจากมีการเปลี่ยนรูปแบบของกล่องรับสัญญาณได้ครบ จะแก้ปัญหาการสูญเสียรายได้ได้อย่างแท้จริง และจะทำให้ผู้ลักลอบใช้กล่องเถื่อนบางส่วนจะหันมาเป็นลูกค้าของทรูวิชั่นส์
นายนพปฏล กล่าวอีกว่า บริษัทมั่นใจว่าการทำสัญญากับบมจ.กสท โทรคมนาคม ในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่หลังเข้าซื้อกิจการจาก HUTCH ถูกต้องตามกฎหมาย และหากทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ชี้มูลความผิดก็เชื่อว่าต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่ากระบวนการทางกฎหมายจะสิ้นสุด รวมทั้งการชี้มูลความผิดที่เกิดขึ้นไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับทางบริษัทฯ
"ที่ผ่านมาเราเชื่อว่าการทำสัญญาซื้อขายฮัทช์และทำสัญญากับกสท.ถูกต้องตามกฎหมายและได้ให้อัยการตีความก่อนทำสัญญาอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นทางทรูเชื่อมั่นว่าจะไม่กระทบต่อการดำเนินกิจการ รวมถึงไม่กระทบต่อการประมูล 3G บนคลื่น 2.1 กิ๊กกะเฮิร์ตซ์" นายนพปฎล กล่าว