นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเม้นท์(ITD) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าผลประกอบการปี 55 จะพลิกกลับมาเป็นกำไร เนื่องจากโครงการต่าง ๆ ในมือไม่มีผลขาดทุน ขณะที่คาดว่าปีนี้รายได้รวมขั้นต่ำน่าจะทำได้ 5.4 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.4 หมื่นล้านบาท
ปริมาณงานในมือ(backlog) ขณะนี้สูงขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/55 บริษัทฯมี backlog แล้ว 1.37 แสนล้านบาท โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าในส่วนรับงานใหม่คิดเป็นมูลค่า 2 แสนล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/55 ได้เซ็นสัญญารับงานไปแล้ว 4.1 หมื่นล้านบาท ขณะนี้ยังมีงานที่อยู่ระหว่างการอเซ็นสัญญาอีก 1.58 แสนล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศพม่า บนพื้นที่ 1.5 แสนไร่ มีมูลค่าโครงการ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.4 แสนล้านบาท ปัจจุบันมีการลงทุนไปแล้ว 1,000 ล้านบาทในการปรับปรุงพื้นที่ และก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ และปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขอเงินกู้ระยะยาวจากต่างประเทศ เพื่อนำมาใช้ในการลงทุนโครงการดังกล่าว เบื้องต้นคาดว่าจะได้รับเงินกู้ภายในปีนี้
"เราหวังว่าจะได้รับเงินกู้ international long term ภายในปีนี้ ซึ่งแต่ก่อนจะได้รับจากจีนและญี่ปุ่น เป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจากที่ยุโรปได้ยกเลิกการคว่ำบาตรพม่า ขณะที่สหรัฐฯก็มีแผนที่จะยกเลิก ก็คงจะทำให้ตอนนี้เราสามารถไปกู้ได้ทั่วโลก"นายเปรมชัย กล่าว
นายเปรมชัย กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีนักลงทุนหลายรายเข้ามาเจรจาขอซื้อที่ดินในโครงการนิคมอุตสาหกรรมทวาย เพื่อใช้ก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ได้เก่ โรงถลุงเหล็ก โรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานผลิตปุ๋ย ซึ่งบริษัทฯคาดว่าจะลงนามในบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น(MOU)ขายที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงถลุงเหล็กได้ภายใน 2-3 เดือนนี้
ขณะที่การก่อสร้างโรงไฟฟ้าในนิคมฯ ทวายเบื้องต้นคาดว่าจะใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งจะมีกำลังการผลิตไม่เกิน 200 เมกะวัตต์ โดยจะมีการเชื่อมต่อท่อก๊าซกับของ บมจ.ปตท.(PTT)
ทั้งนี้ ในส่วนของท่าเรือน้ำลึกคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการก่อสร้างถนนใช้งบลงทุน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ระบบไฟฟ้าและประปาคาดว่าจะใช้เงินลงทุนอีก 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ประธานบริหาร ITD กล่าวว่า บริษัทฯไม่กังวลกระแสการต่อต้านการสร้างนิคมฯทวาย เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทฯได้จ้างบริษัทเอกชนและภาครัฐทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าไปศึกษาผลกระทบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว โดยโครงการทวายเป็นโครงการขนาดใหญ่จึงมีเทคโนโลยีดูแลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว
สำหรับการย้ายชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ของโครงการทวาย ขณะนี้ทางบริษัทฯได้ดำเนินการให้มีการย้ายออกจากพื้นที่แล้วไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นไร่ ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าจะทำให้ได้ไม่ต่ำกว่า 50% ของพื้นที่ทั้งหมด
นายเปรมชัย กล่าวว่า ด้านโครงการเหมืองโปแตช ที่จังหวัดอุดรธานี บริษัทฯคาดว่าจะได้สัมปทานบัตรภายในปีนี้ และคาดว่าจะเริ่มผลิตโปแตชขึ้นมาขายได้ภายในปี 57 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีแผนจะลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการเหมืองโปแตชลงจากปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 90% เพื่อนำเงินมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ส่วนเหมืองบ๊อกไซ และโครงการอลูมิเนียม ที่ประเทศลาว ปัจจุบันมีพันธมิตรจากจีนได้เข้ามาร่วมลงทุน แต่บริษัทฯยังคงรักษาสัดส่วนการถือหุ้นไว้ที่ 30%
"สิ่งที่ผมกังวลสำหรับ ITD ในตอนนี้คือเติบโตแบบก้าวกระโดด ปีนี้น่าจะมีงาน 2 แสนล้าน เข้ามาแน่นอน ปีหน้าก็คงจะอีกหลายแสนล้าน ทำให้ใช้เงินลงทุนค่อนข้างเยอะ เราก็ต้องไปกู้เยอะ และถ้าเงินหมุนเวียนน้อยก็อาจจะกู้ไม่พอ"นายเปรมชัย กล่าว