บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) ที่ระดับ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินต้าให้เช่า ตลอดจนกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาเช่าโรงงานและคลังสินค้า การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศด้วย แม้ว่าพื้นที่ให้เช่าที่ประสบอุทกภัยมีสัดส่วน 42% ของพื้นที่ให้เช่ารวมของบริษัท แต่ก็คาดว่าความเสียหายของทรัพย์สินจะได้รับการชดเชยจากบริษัทประกันภัย
ขณะที่การลดลงของรายได้ค่าเช่าจะอยู่ในช่วงไม่เกิน 6 เดือนคือระหว่างเดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนมีนาคม 2555 จากการที่บริษัทมีพื้นที่ให้เช่ากระจายตัวอยู่ในหลายทำเลและอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทยมีการฟื้นตัว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะกลับมาดำเนินงานเป็นปกติได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2555 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังประกาศยกเลิก “เครดิตพินิจ" แนวโน้ม “ลบ" หรือ “Negative" ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตของบริษัทเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2554 หลังจากที่พื้นที่ให้เช่าของบริษัทซึ่งตั้งอยู่ในเขตภาคกลางของประเทศประสบอุทกภัย
ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าได้ต่อไป โดยพื้นที่เช่าที่ประสบอุทกภัยคาดว่าจะกลับมาดำเนินงานเป็นปกติได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2555 ในขณะที่แนวโน้มการเติบโตของการลงทุนจะส่งผลให้ความต้องการโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในบริเวณที่ไม่มีปัญหาอุทกภัย
ทริสเรทติ้งรายงานว่า TICON เป็นผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าในประเทศโดยก่อตั้งในปี 2533 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2545 บริษัทได้ขยายธุรกิจสู่การให้เช่าคลังสินค้าตั้งแต่ปี 2548 โดย ณ เดือนมีนาคม 2555 บริษัทมีโรงงานให้เช่าจำนวน 122 แห่ง และมีคลังสินค้าให้เช่าจำนวน 58 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ รวมเป็นพื้นที่ให้เช่าทั้งสิ้น 569,716 ตารางเมตร (ตร.ม.) ในช่วงปี 2548-2553
รายได้หลักของบริษัท (65%) มาจากการขายสินทรัพย์ของบริษัทเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ 27% ของรายได้มาจากค่าเช่าโรงงานและคลังสินค้า ในระหว่างปี 2548-2553 บริษัทมีรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทีพาร์คโลจีสติคส์ (TLOGIS) ประมาณ 1,500-2,200 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ลดลงเหลือ 944 ล้านบาทในปี 2554 เนื่องจากผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2554
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ เดือนมีนาคม 2555 ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TICON คงเป็น บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ(ROJNA) (21.5%) กลุ่มผู้บริหารของบริษัท (7.3%) และกลุ่มซิตี้เรียลตี้ (6.4%) ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากผลงานการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปที่มีคุณภาพ รวมทั้งความสามารถในการก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูปตามมาตรฐานในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งจากการใช้ทีมงานก่อสร้างของบริษัทเอง ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานสำเร็จรูปให้เช่ากระจายตัวในทำเลต่าง ๆ 10 แห่งและคลังสินค้าให้เช่าอีก 6 แห่งโดยไม่รวมพื้นที่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
จากรายงานของ CB Richard Ellis (CBRE) ระบุว่าบริษัทยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าในประเทศไทย ณ เดือนธันวาคม 2554 บริษัทและ TFUND มีส่วนแบ่งทางการตลาดของพื้นที่โรงงานให้เช่ารวม 64.6% ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งรายอื่นเป็นอย่างมาก โดยคู่แข่งสำคัญประกอบด้วย บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (10.6%) บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน(HEMRAJ) (12.4%) บมจ.ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม (TFI) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 (6.5%) และ บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) (5.9%)
ในปี 2554 รายได้ค่าเช่ารวมของ TICON เพิ่มขึ้นเพียง 3% เป็น 880 ล้านบาทจาก 851 ล้านบาทในปี 2553 อุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทำให้การดำเนินงานของบริษัทและลูกค้าในทำเล 5 แห่งหยุดชะงักตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 พื้นที่เช่าที่ประสบอุทกภัยประกอบด้วยโรงงานให้เช่า 58 แห่งและคลังสินค้าให้เช่า 12 แห่ง รวมพื้นที่ 229,874 ตร.ม. ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 42% ของพื้นที่ให้เช่ารวมของบริษัทก่อนเกิดอุทกภัย บริษัทสูญเสียรายได้ค่าเช่ารวม 100 ล้านบาทในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 และต้องเลื่อนการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์จากไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 ออกไปเป็นปี 2555
นอกจากนี้ บริษัทยังบันทึกค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้รอตัดบัญชีอีก 72 ล้านบาทเนื่องจากอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงจาก 30% เป็น 20%-23% ในปี 2555-2557 ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้กำไรของบริษัทลดลง 47% จากปี 2553 เป็น 436 ล้านบาทในปี 2554 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ลดลง 30% จากปี 2553 เป็น 1,269 ล้านบาทในปี 2554 การเลื่อนการขายสินทรัพย์ยังส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 60.4% ในปี 2554 จาก 52.5% ในปี 2553
แม้ว่าความต้องการเช่าโรงงานและคลังสินค้าในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยจะชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดหลังน้ำท่วม แต่ความต้องการโรงงานในทำเลที่ไม่มีปัญหาน้ำท่วมยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ณ เดือนมีนาคม 2555 บริษัท TICON มีพื้นที่เช่ารวม 569,716 ตร.ม. คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของพื้นที่เช่าสุทธิจำนวน 12,574 ตร.ม. ในไตรมาส 1/55 หากไม่รวมการขายอสังหาริมทรัพย์
การเพิ่มขึ้นของพื้นที่เช่าสุทธิประกอบด้วยพื้นที่คลังสินค้าให้เช่าของบริษัทเพิ่มขึ้น 19,649 ตร.ม. ในขณะที่โรงงานให้เช่าลดลง 7,075 ตร.ม. การลดลงของพื้นที่โรงงานให้เช่าเป็นผลจากการยกเลิกสัญญาของลูกค้าในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยเป็นหลัก โดยมีลูกค้าที่ยกเลิกสัญญาจำนวน 12 รายด้วยพื้นที่เช่ารวม 27,025 ตร.ม.
การดำเนินงานของ TICON เริ่มกลับคืนสู่ภาวะปกติ ณ วันที่ 15 เมษายน 2555 บริษัทได้ซ่อมแซมทรัพย์สินที่ประสบอุทกภัยภายใต้การดูแลของบริษัทและส่งมอบให้ลูกค้าเกือบทั้งหมดแล้ว คาดว่ารายได้ค่าเช่าจะกลับสู่ระดับปกติได้ในครึ่งหลังของปี 2555 ค่าเสียหายจากอุทกภัยจำนวน 199 ล้านบาทและรายได้ค่าเช่าที่ลดลง 50-60 ล้านบาทจะได้รับการชดเชยจากบริษัทประกันภัย
ทริสเรทติ้งคาดว่าการยกเลิกสัญญาเช่าจะลดลงในช่วงหลังจากนี้เมื่อความมั่นใจของนักลงทุนกลับคืนมาโดยลำดับเนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศมาตรการเยียวยาและให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งที่เคยประสบอุทกภัยได้สร้างคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม
ขณะที่ความต้องการโรงงานให้เช่าและคลังสินค้าให้เช่ายังมีแนวโน้มเติบโตดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทย นอกจากนี้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 โครงการที่ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนมูลค่ารวมสูงถึง 231,000 ล้านบาท (รวมโครงการที่ประสบอุทกภัยมูลค่า 25,717 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นถึง 107% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การลงทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความต้องการพื้นที่เช่าของบริษัทมากขึ้นโดยเฉพาะในทำเลที่ไม่มีปัญหาอุทกภัย
ทั้งนี้ อัตราเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะลดลงในปี 2555-2556 หากบริษัทสามารถขายสินทรัพย์มูลค่า 4,200 ล้านบาทเข้ากองทุนได้ในปี 2555 เพราะสินทรัพย์ดังกล่าวมีขนาดใหญ่กว่าสินทรัพย์ปกติที่บริษัทขายถึง 2 เท่า