นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี .เอ็น .ดีเวลลอปเมนท์(LPN)เปิดเผยว่า ในปี 55 บริษัทวางเป้าหมายรายได้ที่ 13,200 ล้านบาท โดยมีโครงการที่จะแล้วเสร็จรวมทั้งสิ้น 10 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 14,860 ล้านบาท โดยการรับรู้รายได้แบ่งเป็น 1,950 ล้านบาทในครึ่งปีแรก 3 โครงการ และ 12,910 ล้านบาทจาก 7 โครงการในครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ รายได้จะมีการกระจุกตัว โดยเฉพาะในไตรมาส 4/55 บริษัทจะมีโครงการที่แล้วเสร็จจำนวนมากถึง 5 โครงการ มูลค่ารวมเกือบ 6,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายทางด้านรายได้มากกว่า 7,000 ล้านบาท อันเนื่องจากการชะลอการเปิดตัวโครงการในช่วงที่มีความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง แต่อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลายลง บริษัทซึ่งมีศักยภาพทางด้านความรวดเร็วและความยืดหยุ่น ได้เริ่มทยอยเปิดตัวโครงการ เพื่อยังคงรักษาอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานไว้
สำหรับไตรมาส 1/55 บริษัทมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์ 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1,385 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ ลุมพินี คอนโดทาวน์ นิด้า-เสรีไทย และ ลุมพินี วิลล์ ลาซาล-แบริ่ง ซึ่งเป็นโครงการนำร่องในบริเวณใหม่และเป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีระดับกลาง-ล่าง ซึ่งกำหนดอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ร้อยละ 25 และร้อยละ 27 ตามลำดับ โดยเปิดตัวเมื่อต้นปี 54 เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่หลายฝ่ายมีความกังวลภาวะอุปทานล้นตลาด โดยเฉพาะอาคารชุดพักอาศัยที่มีราคาขายประมาณ 2 ล้านบาท ซึ่ง 2 โครงการดังกล่าวปัจจุบันบริษัทได้โอนกรรมสิทธิ์แล้วกว่าร้อยละ 90 ภายในระยะเวลาเพียงเดือนเศษ
บริษัทเชื่อว่าภายใต้ศักยภาพ อันได้แก่ ความรวดเร็วในการก่อสร้างภายใต้การควบคุมคุณภาพเพื่อส่งมอบห้องชุดให้แก่ลูกค้าตรงตามกำหนด ประสิทธิภาพในการโอนกรรมสิทธิ์ บริษัทยังคงบรรลุเป้าหมายทางด้านรายได้ที่กำหนดไว้ตลอดทั้งปี พร้อมทั้งรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับร้อยละ 30 แม้จะมีผลกระทบทางด้านต้นทุนอันเกิดจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามนโยบายของภาครัฐ
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/55 บริษัทมีกำไรสุทธิ 294.43 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27.41 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีรายได้จากการขายที่ 2,068.59 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าแผนธุรกิจเล็กน้อย แต่ต่ำกว่าปีก่อน ร้อยละ 15.01 เป็นผลมาจากจำนวนโครงการที่แล้วเสร็จลดลง
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายลดลงร้อยละ 4.60 จากปีก่อน และค่าใช้จ่ายในการขาย (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์) เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.42 เนื่องจากได้เปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้น สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารซึ่งค่าใช้จ่ายคงที่ไม่ได้ผันแปรตามยอดรายได้ลดลง เนื่องจากบริษัทฯได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานทำให้สามารถลดลงร้อยละ 3.04
ด้านสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจากปลายปีก่อน 765.31 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.98 ส่วนใหญ่เกิดจากรายการที่ดิน และต้นทุนโครงการระหว่างก่อสร้าง ซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนาเป็นที่พักอาศัย เพื่อรับรู้เป็นรายได้ ในปี 55-56 หนี้สินรวมเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,114.56 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.22 เกิดจาก 2 รายการใหญ่ คือ การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เพื่อนำมาใช้พัฒนาโครงการที่จะส่งมอบในปี 55-56 และเงินปันผลค้างจ่ายที่เตรียมไว้สำหรับจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการในครึ่งปีหลังของปี 54 โดยเงินปันผลดังกล่าวได้จ่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 11 เมษายน 55
ทั้งนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้นได้ลดลงจากการจ่ายเงินปันผล ทำให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 0.09 : 1 ณ 31 ธันวาคม 54 เป็น 0.15 : 1 ณ 31 มีนาคม 55